https://thaidj.org/index.php/CMJ/issue/feed
ชัยภูมิเวชสาร = Chaiyaphum Medical Journal
2025-10-15T08:56:44+07:00
ทศพร พายบุตร
thodsaporn.ph@gmail.com
Open Journal Systems
<p><strong> วัตถุประสงค์</strong> : ชัยภูมิเวชสาร เป็นวารสารของโรงพยาบาลชัยภูมิ ที่จัดพิมพ์ผลงานวิชาการเกี่ยวกับการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุข ได้แก่ นิพนธ์ต้นฉบับ (original article) บทความปฏิทัศน์/ฟื้นฟูวิชาการ (review article/refresher article) รายงานผู้ป่วย (case report) บทความพิเศษ (special article) และงานวิชาการในลักษณะอื่น ๆ ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่มาก่อน</p> <p><strong> </strong><strong>กำหนดออกเผยแพร่</strong> : ราย 6 เดือน (มิถุนายน และ ธันวาคม)</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>การติดต่อส่งเรื่องที่</strong></p> <p><strong>กองบรรณาธิการ ชัยภูมิเวชสาร </strong></p> <p>ห้องสมุด โรงพยาบาลชัยภูมิ</p> <p> 12 ถนนบรรณาการ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ 36000 </p> <p> โทรศัพท์ 044-837100-3 ต่อ 8125, 8116 </p> <p>E-mail : thodsaporn.ph@gmail.com<strong> Line : 095-6619738</strong> </p> <p><a title="คำแนะคำสำหรับผู้เขียนบทความ เพื่อตีพิมพ์ในชัยภูมิเวชสาร" href="https://drive.google.com/file/d/1Wnfgm4sJzaUt0OFww57ojY5LkQlD57G0/view?usp=drive_link" target="_blank" rel="noopener">คำแนะนำการตีพิมพ์</a> <a title="แบบแจ้งความจำนงตีพิมพ์ชัยภูมิเวชสาร" href="https://docs.google.com/document/d/10_oYxYvyaEkQzBGLG8nfOHikPzng74uB/edit?usp=drive_link&ouid=111802723118753231039&rtpof=true&sd=true" target="_blank" rel="noopener">แบบแจ้งความจำนงตีพิมพ์</a></p>
https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16638
อุบัติการณ์ ระยะปลอดเหตุการณ์ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคไตเรื้อรัง ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร
2025-06-23T09:25:23+07:00
สายฝน ฮ่มป่า
glibencamide@gmail.com
ธีรศักดิ์ พาจันทร์
teerasak@scphkk.ac.th
<p> การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบกลุ่มติดตามย้อนหลัง (Retrospective Cohort Study) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอุบัติการณ์ ระยะปลอดเหตุการณ์ และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคไตเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในพื้นที่อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 รายใหม่ (1 มกราคม 2556 – 31 ธันวาคม 2562) จำนวน 519 ราย และติดตามผู้ป่วยจนถึง 31 ธันวาคม 2566 เก็บข้อมูลย้อนหลังด้วยแบบบันทึกเวชระเบียน ใช้สถิติวิเคราะห์ Survival Analysis และ Cox proportional hazards regression โดยวิธี Backward elimination กำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า อุบัติการณ์ของโรคไตเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 เท่ากับ 7.04 ต่อ 1,000 person-month (95% CI: 6.23, 7.95) โดยมีค่ามัธยฐานระยะปลอดเหตุการณ์ (Median survival time) เท่ากับ 91.41 เดือน (95% CI: 82.03, 105.31) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคไตเรื้อรังอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.001) ได้แก่ ระดับ HbA1c ≥ 7% (Adjusted HR=4.77; 95% CI: 3.01, 7.56) ระดับไขมัน HDL < 40 mg/dl (Adjusted HR=1.67; 95% CI: 1.30, 2.16) การใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ไม่ใช่สเตียรอยด์ NSAIDs (Adjusted HR=2.11; 95% CI: 1.63, 2.73) การสูบบุหรี่ (Adjusted HR=2.05; 95% CI: 1.45, 2.88) และการใช้ยา Allopurinol (Adjusted HR=5.83; 95% CI: 2.74, 12.38) ในขณะที่การใช้ยา Losartan สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคไตเรื้อรังได้ถึง 80% (Adjusted HR=0.20; 95% CI: 0.09, 0.45)</p> <p> ผลวิจัยชี้ให้เห็นว่า ควรมุ่งเน้นการควบคุมระดับ HbA1c ให้ต่ำกว่า 7% ส่งเสริมการ<br />เลิกสูบบุหรี่ พิจารณาลดการใช้ยากลุ่ม NSAIDs และเฝ้าระวังผู้ป่วยที่ใช้ยา Allopurinol อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งพิจารณาการใช้ยา Losartan ในผู้ป่วยเบาหวานที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง เพื่อชะลอการ<br />เกิดภาวะแทรกซ้อนทางไต</p>
2025-11-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชัยภูมิเวชสาร = Chaiyaphum Medical Journal
https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16665
ประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงของกลุ่มเสี่ยง ตำบลโนนคูณ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ
2025-07-09T10:02:35+07:00
วรรณา แกมคำ
jaknakarin1@gmail.com
<p> โรคความดันโลหิตสูงเป็นปัญหาสาธารณสุขสำคัญที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในจังหวัดชัยภูมิยังพบกลุ่มเสี่ยงในสัดส่วนที่สูง แต่วิธีการแก้ไขปัญหาแบบเดิมยังไม่ประสบผลสำเร็จ การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อพฤติกรรมการป้องกันโรคความดันโลหิตสูงของกลุ่มเสี่ยง รูปแบบเป็นวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงอายุ 35 – 59 ปี ในตำบลโนนคูณ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ จำนวน 94 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 47 คน โปรแกรมพัฒนาจากแนวคิดความรอบรู้ด้านสุขภาพของนัทบีม ดำเนินการเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ใช้การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมผ่านสื่อรูปแบบต่าง ๆ และแอปพลิเคชันไลน์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา, paired t-test และ independent t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า หลังได้รับโปรแกรม กลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Mean diff. = 20.21; 95% CI: 18.58, 21.84) และพฤติกรรมการป้องกันโรค (Mean diff. = -5.57; 95% CI: 4.21, 6.95) สูงกว่าก่อนได้รับโปรแกรมและสูงกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) นอกจากนี้ยังมีค่าความดันโลหิตซิสโตลิก (Mean diff. = -4.40; 95% CI:-5.79, -3.01) และไดแอสโตลิก (Mean diff. = -3.27; 95% CI: -4.81, -1.73) ลดลง อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.001)</p> <p> การวิจัยครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าโปรแกรมการส่งเสริมความรอบรู้ด้านสุขภาพช่วยให้กลุ่มเสี่ยงมีความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคเพิ่มขึ้น รวมทั้งระดับความดันโลหิตลดลง ดังนั้นควรนำโปรแกรมนี้ไปประยุกต์ใช้ในกิจกรรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเสี่ยงให้เหมาะสมกับบริบทของแต่ละพื้นที่</p>
2025-11-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชัยภูมิเวชสาร = Chaiyaphum Medical Journal
https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16744
ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารทางการพยาบาล ต่อความผูกพันองค์กรและความตั้งใจคงอยู่ในงานของพยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาล
2025-07-29T08:02:15+07:00
เกษร สุขพันธ์
Noyer5177@gmail.com
กัญชมน สีหะปัญญา
kanchamonohh@gmail.com
เตชะธรรม ฟองนวลศิริกุล
techathamnurse@gmail.com
<p> การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบหาความสัมพันธ์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมของผู้บริหารทางการพยาบาลต่อความผูกพันขององค์กรและความตั้งใจคงอยู่ในงานของพยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาล กลุ่มตัวอย่าง คือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลและมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ จำนวน 178 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 3 ส่วน ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94, 0.92 และ 0.79 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ด้วยสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของสเปียร์แมน</p> <p> ผลวิจัย พบว่า การบริหารแบบมีส่วนร่วมอยู่ในระดับมาก (Mean=3.93, S.D.=0.62) ความผูกพันต่อองค์กรอยู่ในระดับสูง (Mean=3.20, S.D.=0.49) และความตั้งใจคงอยู่ในงานอยู่ในระดับปานกลาง (M=3.31, S.D.=0.41) เมื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ พบประเด็นสำคัญคือ การบริหารแบบมีส่วนร่วมส่งผลต่อความผูกพันต่อองค์กรได้ค่อนข้างดี (r=0.311-0.495) แต่ส่งผลต่อความตั้งใจคงอยู่ในงานได้น้อยมาก (r=0.067-0.207) ในขณะที่ความผูกพันต่อองค์กรกลับส่งผลต่อความตั้งใจคงอยู่ในงานได้ดีกว่า (r=0.280-0.357) ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าความผูกพันต่อองค์กรเป็นตัวกลางสำคัญที่เชื่อมโยงการบริหารแบบมีส่วนร่วมไปสู่ความตั้งใจคงอยู่ในงาน</p> <p> ความผูกพันต่อองค์กรทำหน้าที่เป็นตัวแปรคั่นกลางสำคัญระหว่างการบริหารแบบมีส่วนร่วมกับความตั้งใจคงอยู่ในงาน การสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของร่วมและการให้อิสรภาพในการปฏิบัติงานมีความสำคัญต่อการแก้ไขวิกฤตการขาดแคลนพยาบาลมากกว่าการเพิ่มการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเพียงอย่างเดียว</p>
2025-11-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชัยภูมิเวชสาร = Chaiyaphum Medical Journal
https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16769
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรังโดยเครือข่ายชุมชน: นวัตกรรม "4 สร้าง 2 ใช้" ตำบลนาเสียว อำเภอเมืองชัยภูมิ
2025-07-30T09:46:20+07:00
ดาวรุ่ง พิมพ์แสงศิลป์
rungpim29@gmail.com
<p><strong> </strong>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินรูปแบบการดูแลผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรังโดยเครือข่ายชุมชนตามแนวทาง "4 สร้าง 2 ใช้" ในตำบลนาเสียว อำเภอเมืองชัยภูมิ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม ใช้ระยะเวลา 7 เดือน แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ 1) การวิเคราะห์ชุมชนและออกแบบนวัตกรรมแบบมีส่วนร่วม 2) การทดลองใช้นวัตกรรม และ 3) การประเมินผล กลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ป่วยจิตเวชเรื้อรัง 44 ราย, ผู้ดูแล 44 ราย และเครือข่ายชุมชน 28 ราย ประเมินผลด้วยแบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบประเมินภาวะซึมเศร้า การสัมภาษณ์และการสนทนากลุ่ม ก่อนและหลังการแทรกแซง ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และ Paired t-test ส่วนข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p><strong> </strong>ผลการศึกษา พบว่า แนวทาง "4 สร้าง" ที่พัฒนาโดยเครือข่ายชุมชน ประกอบด้วย 1) การสร้างความปลอดภัย (Safe Space Café, เพื่อนบ้านดูแลกัน, Mental Health First Aid) 2) การสร้างความสงบ (สวนสมาธิชุมชน, โยคะยามเย็น) 3) การสร้างความหวัง (เวทีแบ่งปัน, พี่เลี้ยงใจ) และ 4) การสร้างโอกาสใหม่ (เวทีเสวนา, “ลบความอับอาย”, โอกาสใหม่ในชุมชน) ส่วน "2 ใช้" เน้นการใช้ศักยภาพและสายสัมพันธ์ในชุมชน ผลจากการแทรกแซงด้วยนวัตกรรม พบว่า คะแนนเฉลี่ย Q9 ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 6.95 เป็น 3.18 คะแนน (95% CI: 2.07, 5.48) และผู้ป่วยที่มีอาการน้อยหรือไม่มีอาการเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 45.4 เป็นร้อยละ 81.8 และไม่มีผู้ป่วยคงอยู่ในระดับปานกลางหรือรุนแรง</p> <p><strong> </strong>แนวทาง "4 สร้าง 2 ใช้" เป็นนวัตกรรมที่มีศักยภาพในการปฏิรูประบบสุขภาพจิตในชุมชน ด้วยการใช้ทรัพยากรท้องถิ่นและกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน แม้มีข้อจำกัดทางวิธีวิจัย แต่เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทไทย การขยายผลต่อยอดจึงมีความจำเป็น</p>
2025-11-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชัยภูมิเวชสาร = Chaiyaphum Medical Journal
https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16794
การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้หูดับของประชาชน ตำบลซับสีทอง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ
2025-08-08T08:38:23+07:00
สุภารัตน์ ปราบคะเชนทร์
supharatclinic58@gmail.com
<p> โรคไข้หูดับ (Streptococcus suis) เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ เนื่องจากสถานการณ์ความรุนแรงของโรคทำให้เกิดการเสียชีวิต การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาความรอบรู้และพฤติกรรมการป้องกันโรคไข้หูดับของประชาชนตำบลซับสีทอง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ โดยการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบผสานวิธี ผ่านกระบวนการ 5 ขั้นตอน คือ 1) การวางแผน 2) การเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน 3) การออกแบบกลยุทธ์ 4) การดำเนินการ และ 5) การประเมินผล</p> <p> สถานการณ์การเสียชีวิตในผู้ป่วยวัย 82 ปี ในระยะเวลา 5 วัน หลังรับประทานเนื้อหมูที่ปรุงสุก ประกอบกับการสำรวจข้อมูลพื้นฐาน นำมาสู่การพัฒนากลยุทธ์ “5 ห่วงโซ่ป้องกันโรค” ที่เชื่อมโยงท้องถิ่น ท้องที่ การศึกษา ศาสนา และสาธารณสุข โดยผสานกับกลยุทธ์การบริหารจัดการทรัพยากร การสื่อสารความเสี่ยง การใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสาร และความร่วมมือของชุมชน หลังดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ พบความสำเร็จร้อยละ 100.0 ในการหยุดบริโภคเนื้อหมูดิบ การปรับปรุงสุขลักษณะสถานประกอบการเพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.3-12.8 และความรู้ (Mean diff. = 1.39; 95% CI: 0.47, 2.31) ทัศนคติ (Mean diff. = 2.13; 95% CI: 0.27, 3.99) ของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ขณะที่พฤติกรรมไม่พบการเปลี่ยนแปลง</p> <p> การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์แบบบูรณาการที่เน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนสามารถเป็นแบบอย่างที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคอุบัติใหม่ในระดับชุมชน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยั่งยืนยังต้องการการติดตามและเสริมแรงอย่างต่อเนื่อง</p>
2025-08-28T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชัยภูมิเวชสาร = Chaiyaphum Medical Journal
https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16814
ระดับ D-dimer ที่เหมาะสมในการคัดเลือกผู้ป่วยเข้าสู่การวินิจฉัยภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอดโดยการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หลอดเลือดแดงปอด ในผู้ป่วยที่มีอาการหายใจลำบากเฉียบพลันในโรงพยาบาลชัยภูมิ
2025-09-01T09:49:38+07:00
บุปผารัตน์ อ่อนชมจันทร์
b.onchomchant@gmail.com
<p> ภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอดเป็นภาวะฉุกเฉินที่มีอัตราการเสียชีวิตสูง การตรวจ D-dimer เป็นเครื่องมือคัดกรองหลัก แต่ค่ามาตรฐาน 500 ng/mL มี specificity ต่ำ ทำให้ต้องส่งตรวจ CTPA มากเกินจำเป็น การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาค่า optimal cut-off ของ D-dimer และวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงทางคลินิกที่สัมพันธ์กับการเกิด PE ในผู้ป่วยที่มาด้วยภาวะหายใจลำบากเฉียบพลันในโรงพยาบาลชัยภูมิ เป็นการวิจัยเชิงวินิจฉัยแบบย้อนหลัง (retrospective diagnostic study) ในผู้ป่วย 96 ราย (PE 22 ราย, non-PE 74 ราย) ที่ได้รับการตรวจ D-dimer และ CTPA ระหว่างเดือนธันวาคม 2566 ถึงสิงหาคม 2567 วิเคราะห์ข้อมูลด้วย ROC Curve Analysis ร่วมกับ Youden Index และ Univariable logistic regression</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า D-dimer มี AUC 0.603 (95% CI: 0.454, 0.751) ค่า optimal cut-off ที่ 4,233 ng/mL ให้ sensitivity 68.2%, specificity 59.5%, PPV 33.3% และ NPV 86.3% เมื่อเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน 500 ng/mL (sensitivity 100%, specificity 2.7%) และค่าต่ำสุดในกลุ่ม PE = 1,140 ng/mL (sensitivity 100%, specificity 16.2%) พบว่าค่า optimal cut-off อาจลดการส่งตรวจ CTPA ที่ไม่จำเป็นได้กว่าครึ่งหนึ่ง (false positive ลดจาก 62 เหลือ 30 ราย) สำหรับปัจจัยเสี่ยงทางคลินิก พบว่าภาวะหัวใจเต้นเร็ว (Tachycardia; Heart rate > 100 bpm) เป็นปัจจัยเดียวที่มีความสัมพันธ์กับการเกิด PE อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (OR = 3.47; 95% CI: 1.26, 9.52)</p> <p> สรุปได้ว่าค่า D-dimer cut-off ที่ 4,233 ng/mL ให้ NPV สูง เหมาะสำหรับการ rule-out PE และอาจลดการตรวจ CTPA ที่ไม่จำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แนะนำให้ใช้ D-dimer ร่วมกับ clinical probability score และพิจารณาภาวะ Tachycardia ในการประเมินผู้ป่วย โดยสามารถปรับค่า cut-off ตามบริบทของการดูแล แนวทางนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงในโรงพยาบาลระดับจังหวัดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการวินิจฉัยภาวะลิ่มเลือดอุดตันในปอด</p>
2025-11-24T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชัยภูมิเวชสาร = Chaiyaphum Medical Journal
https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16815
การประเมินผลกระบวนการลดความผิดพลาดในการจัดยาของห้องจ่ายยาผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลชัยภูมิ
2025-09-03T09:13:04+07:00
อรวรรณ นาคคำ
orawannkkm@gmail.com
<p> ความคลาดเคลื่อนในการจัดยาเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลของกระบวนการลดความผิดพลาดในการจัดยาของห้องจ่ายยาผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลชัยภูมิ เป็นการวิจัยแบบ retrospective before-after study เปรียบเทียบอัตราความคลาดเคลื่อนระหว่างช่วงก่อนดำเนินการ (กรกฎาคม-สิงหาคม 2567) และช่วงหลังดำเนินการ (กันยายน-ตุลาคม 2567) เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูล และโปรแกรม HOSxP กลุ่มตัวอย่างคือใบสั่งยาที่ให้บริการในเวลาราชการ รวม 80 วัน กระบวนการลดความผิดพลาดประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่ การเน้นย้ำมาตรฐานการจัดยา การหมุนเวียนตำแหน่ง การปรับปรุงป้ายยา LASA การจัดทำยา Prepack และการปรับปรุงฉลากยา วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา Mann-Whitney U test, Fisher's exact test, Cohen's d และ Poisson regression</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าอัตราความผิดพลาดลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 8.35±5.72 เป็น 4.83±2.57 ต่อ 1,000 ใบสั่งยา (p < 0.001) คิดเป็นการลดลงร้อยละ 42.2 ค่า Cohen's d เท่ากับ 0.783 แสดงถึงขนาดอิทธิพลระดับใหญ่ ความผิดพลาดทุกประเภทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ การวิเคราะห์ Poisson regression พบว่า adjusted IRR เท่ากับ 0.563 (95% CI: 0.430, 0.736) กระบวนการมีประสิทธิภาพสูงสุดในวันที่มีปริมาณงานต่ำถึงปานกลาง (p = 0.006) ขณะที่จำนวนเจ้าหน้าที่ไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราความผิดพลาด</p> <p> กระบวนการลดความผิดพลาดแบบหลายมิติสามารถลดความคลาดเคลื่อนในการจัดยาได้อย่างมีนัยสำคัญทั้งทางสถิติและทางคลินิก ผลการศึกษานี้สามารถนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินงานสำหรับโรงพยาบาลอื่นที่มีบริบทคล้ายคลึงกัน</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชัยภูมิเวชสาร = Chaiyaphum Medical Journal
https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16834
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้การประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการ ที่ปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลหนองบัวระเหว
2025-09-08T13:53:41+07:00
ลำไพร สนั่นเมือง
lamprai_sa@hotmail.co.th
<p> การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้การประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการโรงพยาบาลหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง เก็บข้อมูลจากข้าราชการจำนวน 84 คน (ตอบกลับ 64; อัตราตอบกลับ 76.2) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 79.7) อายุเฉลี่ย 42.7 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 76.6) และดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ (ร้อยละ 82.8) ความรู้เกี่ยวกับการประเมินผลอยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 0.56) โดยมีความรู้ต่ำสุดในด้านการประเมินผลสัมฤทธิ์ของงาน (Mean = 0.39) การรับรู้การประเมินผลอยู่ในระดับปานกลาง (Mean = 3.38; Total = 5.00) โดยมีการรับรู้สูงกว่าความรู้จริงถึงร้อยละ 11.6 จากการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ พบว่า โมเดลสามารถอธิบายความแปรปรวนของการรับรู้ได้ร้อยละ 64.4 (p < 0.001) มีเพียง 2 ปัจจัย ที่มีความสัมพันธ์กับการรับรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับการประเมินผล (β=1.71, 95% CI: 1.03, 2.38) ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลสูงสุด และประสบการณ์การเป็นหัวหน้า (β=0.41, 95% CI: 0.02, 0.80)</p> <p> ความรู้และประสบการณ์การเป็นหัวหน้าเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดการรับรู้การประเมินผลการปฏิบัติราชการ การพัฒนาระบบประเมินผลในโรงพยาบาลชุมชนควรเน้นการพัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมที่เน้นการประเมินผลสัมฤทธิ์ของงาน การสร้างโอกาสให้บุคลากรได้รับประสบการณ์ในบทบาทหัวหน้าชั่วคราว และพัฒนาระบบการเข้าถึงความรู้ที่เหมาะสมกับบุคลากรที่ทำงานผลัดเวร</p>
2025-11-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชัยภูมิเวชสาร = Chaiyaphum Medical Journal
https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16840
ประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันการเสพยา ของผู้ป่วยยาเสพติดยาบ้า จังหวัดเลย
2025-09-15T09:47:54+07:00
คณิตย์ วงษา
nuesine2524@gmail.com
<p> ปัญหายาเสพติดส่งผลกระทบรุนแรงต่อสุขภาพ เศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ จังหวัดเลยซึ่งเป็นพื้นที่ชายแดนติดกับ สปป.ลาว ยังคงพบผู้เสพและผู้ติดยาเสพติดจำนวนมาก การพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพจึงเป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันการกลับไปเสพซ้ำ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความรอบรู้ด้านสุขภาพระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือผู้ป่วยยาเสพติดยาบ้า 392 คน จาก 14 อำเภอในจังหวัดเลย แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบกลุ่มละ 196 คน ดำเนินการระหว่างเดือนตุลาคม 2567 ถึงกันยายน 2568 เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยโปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพตามแนวคิดของ Nutbeam และแบบสอบถามที่มีค่าความเชื่อมั่น 0.71-0.84 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ Paired t-test และ Independent t-test</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองมีคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 (จาก 54.53 เป็น 68.16 คะแนน, p<0.001) และพฤติกรรมการป้องกันการเสพยาเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 (จาก 32.16 เป็น 40.36 คะแนน, p<0.001) ขณะที่กลุ่มเปรียบเทียบไม่มีการเปลี่ยนแปลง ด้านที่มีประสิทธิผลสูงสุด ได้แก่ ทักษะการสื่อสาร (เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.5) การรู้เท่าทันสื่อ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.1) และความรู้ความเข้าใจทางสุขภาพ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.4)</p> <p> โปรแกรมพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพมีประสิทธิผลในการเสริมสร้างความรอบรู้และพฤติกรรมการป้องกันการเสพยาของผู้ป่วยยาเสพติดยาบ้า สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่นเพื่อป้องกันปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน</p>
2025-11-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชัยภูมิเวชสาร = Chaiyaphum Medical Journal
https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16849
ปัจจัยที่สัมพันธ์กับโรคระบบทางเดินหายใจที่เกิดซ้ำภายหลังการติดเชื้อโควิด 19 ในเด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี ที่เข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลหนองบัวแดง
2025-09-02T13:33:33+07:00
ณรงค์ฤทธิ์ ธรรมวงษ์
nrr.tmw@gmail.com
<p> การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อความเสี่ยงในการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจซ้ำภายหลังการติดเชื้อในเด็กทารก แต่การศึกษาด้านนี้ยังมีจำกัด การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจซ้ำภายหลังการติดเชื้อโควิด-19 ในเด็กที่อายุต่ำกว่า 1 ปี โดยศึกษาเชิงวิเคราะห์จากเหตุไปหาผลในกลุ่มผู้ป่วยเด็กเล็กที่ติดเชื้อโควิด-19 และได้รับการรักษาแบบผู้ป่วยใน ระหว่างเดือน ตุลาคม 2564 ถึง กันยายน 2565 ที่โรงพยาบาลหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ และติดตามต่อเนื่อง 2 ปี จนถึง กันยายน 2567 กลุ่มผู้ป่วย (case) คือเด็กเล็กที่มีโรคระบบทางเดินหายใจ≥3 ครั้งใน 1 ปี หรือปอดอักเสบ ≥2 ครั้ง/2 ปี) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและการหาปัจจัยเสี่ยงแบบหลายตัวแปรใช้สถิติ multiple logistic regression</p> <p> ผลการศึกษาจากผู้ป่วยทั้งหมด 96 ราย พบการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจซ้ำ 32 ราย (ร้อยละ 33.3) กลุ่ม case มีอาการทางคลินิกที่รุนแรงกว่ากลุ่ม control โดยพบอาการไอมากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (81.3% เทียบกับ 59.4%, p = 0.027) และอาการร้องไห้หงุดหงิด/ร้องกวนสูงกว่า (71.9% เทียบกับ 43.8%, p = 0.008) กลุ่ม case มีสัดส่วนของการผ่าตัดคลอดสูงกว่า (34.4% เทียบกับ 17.2%, p = 0.059) และมีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงกว่า (23.3% เทียบกับ 7.8%, p = 0.049) และการวิเคราะห์ extended model พบว่าปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญประกอบด้วย อาการร้องไห้หงุดหงิด/ร้องกวน (OR<sub>Adjusted</sub> = 3.71; 95% CI: 1.30, 10.60) การผ่าตัดคลอด (OR<sub>Adjusted</sub> = 2.04; 95% CI: 0.68, 6.12) และจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง (OR(Adjusted) = 3.83; 95% CI: 0.91, 16.10) โดยโมเดลมีความแม่นยำเพียงพอและมีความเหมาะสมทางสถิติ</p> <p> การศึกษานี้ พบว่าอาการร้องไห้หงุดหงิด/ร้องกวน เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดต่อการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจซ้ำในเด็กเล็กหลังติดเชื้อโควิด-19 รองลงมาคือประวัติการผ่าตัดคลอดและจำนวนเม็ดเลือดขาวสูง ผลการศึกษาสนับสนุนการพัฒนาเครื่องมือคัดกรองจากอาการทางคลินิกเพื่อระบุกลุ่มเสี่ยงและวางแผนติดตามอย่างเหมาะสม ทั้งนี้ควรมีการศึกษาติดตามระยะยาวเพิ่มเติมโดยพิจารณาปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมร่วมด้วย</p>
2025-12-04T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชัยภูมิเวชสาร = Chaiyaphum Medical Journal
https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16902
ระยะเวลาการใส่ท่อช่วยหายใจในท่า Modified-ramped position เปรียบเทียบกับ Ramped position ในคนอ้วนที่มาผ่าตัดและได้รับการระงับความรู้สึกแบบทั่วไป
2025-10-15T08:56:44+07:00
กิตติมา คนชาญ
doctorkit@hotmail.com
สุชาดา ป้องขวาเลา
supongkaulao@gmail.com
วนิดา ลีละธนาฤกษ์
kungza.babor@gmail.com
<p> ผู้ป่วยอ้วนมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนจากการใส่ท่อช่วยหายใจเนื่องจากลักษณะทางกายวิภาคที่เปลี่ยนแปลง การจัดท่าที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญต่อความสำเร็จและความปลอดภัยในการใส่ท่อช่วยหายใจ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ Modified ramped position กับ Ramped position ในการใส่ท่อช่วยหายใจในผู้ป่วยอ้วน เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง (Quasi experimental study) ในผู้ป่วยอ้วน (BMI ≥30 กก./ม.²) จำนวน 80 ราย ที่เข้ารับการผ่าตัดแบบวางแผนภายใต้การระงับความรู้สึกแบบทั่วไปในโรงพยาบาลชัยภูมิ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2567-มีนาคม 2568 โดยสุ่มผู้ป่วยเข้ากลุ่ม Modified ramped position และ Ramped position กลุ่มละ 40 ราย ผลลัพธ์หลักคือระยะเวลาในการใส่ท่อช่วยหายใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วย Mann-Whitney U test, Chi-square test, Fisher's exact test และ Quantile regression</p> <p> ผลการศึกษาพบว่าระยะเวลาในการใส่ท่อมีค่ามัธยฐาน 29.0 วินาที (IQR: 25.0- 34.3) ในกลุ่ม Modified ramped position และ 30.0 วินาที (IQR: 23.0-35.3) ในกลุ่ม Ramped position ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p=0.851) ผลลัพธ์รอง (mask ventilation, Good laryngeal view, First attempt success, Complications) ทั้งหมดมีความคล้ายคลึงกันระหว่างสองกลุ่ม อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ด้วย quantile regression หลังจากปรับด้วย Mallampati score พบว่าในผู้ป่วยที่มีความยากสูง (Q90) Modified ramped position เพิ่มระยะเวลา 3.8 วินาที (95% CI: 0.5, 7.1) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ( p-value = 0.024) เมื่อเทียบกับ Ramped position ในขณะที่ไม่พบความแตกต่างในผู้ป่วยที่ใส่ท่อได้ง่ายถึงปานกลาง (Q25-Q75)</p> <p> ทั้ง Modified ramped position และ Ramped position มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกันในผู้ป่วยอ้วนโดยรวม อย่างไรก็ตามการเลือกใช้ท่าควรคำนึงถึงลักษณะเฉพาะของผู้ป่วยแต่ละราย โดยเฉพาะการประเมินความยากในการใส่ท่อช่วยหายใจล่วงหน้าในผู้ป่วยที่คาดว่าจะมีความยากสูง การใช้ Ramped position แบบดั้งเดิมอาจเหมาะสมกว่า Modified ramped position</p>
2025-11-25T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 ชัยภูมิเวชสาร = Chaiyaphum Medical Journal