https://thaidj.org/index.php/CMJ/issue/feed ชัยภูมิเวชสาร 2024-12-31T00:00:00+07:00 ทศพร พายบุตร thodsaporn.ph@gmail.com Open Journal Systems <p><strong> วัตถุประสงค์</strong> : ชัยภูมิเวชสาร เป็นวารสารของโรงพยาบาลชัยภูมิ ที่จัดพิมพ์ผลงานวิชาการเกี่ยวกับการแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุข ได้แก่ นิพนธ์ต้นฉบับ (original article) บทความปฏิทัศน์/ฟื้นฟูวิชาการ (review article/refresher article) รายงานผู้ป่วย (case report) บทความพิเศษ (special article) และงานวิชาการในลักษณะอื่น ๆ ที่ยังไม่เคยพิมพ์เผยแพร่มาก่อน</p> <p><strong> </strong><strong>กำหนดออกเผยแพร่</strong> : ราย 6 เดือน (มิถุนายน และ ธันวาคม)</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>การติดต่อส่งเรื่องที่</strong></p> <p><strong>กองบรรณาธิการ ชัยภูมิเวชสาร </strong></p> <p>ห้องสมุด โรงพยาบาลชัยภูมิ</p> <p> 12 ถนนบรรณาการ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ 36000 </p> <p> โทรศัพท์ 044-837100-3 ต่อ 8125, 8116 </p> <p>E-mail: <span style="text-decoration: underline;">thodsaporn.ph@gmail.com</span></p> <p><a title="คำแนะคำสำหรับผู้เขียนบทความ เพื่อตีพิมพ์ในชัยภูมิเวชสาร" href="https://drive.google.com/open?id=1_3j3JlCub7bPXTXih3dwTJXRIC4BISs7" target="_blank" rel="noopener">คำแนะนำการตีพิมพ์</a> <a title="แบบแจ้งความจำนงตีพิมพ์ชัยภูมิเวชสาร" href="https://drive.google.com/open?id=1vqPNBYauABjmNsGQtaD2LXt2-7QwTAsu" target="_blank" rel="noopener">แบบแจ้งความจำนงตีพิมพ์</a></p> https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16050 การศึกษาและเปรียบเทียบประสิทธิผลของการรักษาผู้ติดสุรา ด้วยการให้ยา Benzodiazepine แบบประยุกต์กับการให้ยาแบบเดิม ในหอผู้ป่วยจิตเวช โรงพยาบาลชัยภูมิ 2024-12-02T08:35:45+07:00 เกียรติศักดิ์ ปลัดกอง Lordkiattisak@gmail.com <p> ภาวะติดสุรานำไปสู่โรคตับเรื้อรังและโรคหัวใจ รวมถึงอาการถอนพิษสุราอาจนำไปสู่การเสียชีวิตหากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบอาการถอนพิษสุราหลังได้รับการรักษาด้วยยา Benzodiazepine แบบเดิมและแบบให้ตามอาการ เพื่อปรับปรุงกระบวนการรักษาให้มีประสิทธิภาพ ดำเนินการในผู้ติดสุราที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยจิตเวช โรงพยาบาลชัยภูมิ ระหว่างเดือน ก.ค. 66 - มิ.ย. 67 แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น กลุ่มที่ได้รับยาแบบเดิม (Fixed dose regimen, Loading dose regimen, Intravenous regimen) จำนวน 140 ราย และกลุ่มที่ให้ยาตามอาการ (Symptom-triggered regimen) จำนวน 70 ราย เก็บข้อมูลด้วยแบบประเมิน Alcohol withdrawal scale (AWS) วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Repeated measure ANOVA</p> <p> ผลวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่ม มีอาการถอนพิษสุราในระดับปานกลาง (AWS = 0 – 3) อายุอยู่ในวัยทำงาน (Mean = 44.03) สภาพร่างกายเป็นปกติ (BP<sub>Average</sub>= 125.29/82.10, Respiratory rate<sub>Average</sub>= 20.13, Pulse<sub>Average</sub>= 88.03) กลุ่มทดลองสามารถเลิกติดตามการรักษาได้ภายในระยะเวลา 6 วัน ขณะที่กลุ่มควบคุมมีระยะเวลาสูงสุด 10 วัน และจากการเปรียบเทียบคะแนน AWS พบว่าไม่มีความแตกต่างทางสถิติระหว่างกลุ่ม (p-value = 0.587) แต่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มในแต่ละช่วงเวลา (p-value = 0.002) โดยพบว่าวันแรกของการให้ยา กลุ่มทดลองมีอาการถอนสุรามากกว่ากลุ่มควบคุม (Mean diff.(AWS) = 0.94; 95% CI: 0.42, 1.46) แต่อาการดังกล่าวจะลดลงเรื่อย ๆ จนเลิกติดตามในวันที่ 6 ขณะที่กลุ่มควบคุมมีอาการถอนสุราลดลง แต่ยังคงติดตามต่อจนถึงวันที่ 10 เมื่อพิจารณาเป็นราย item (AWS) พบว่า การให้ยาตามอาการลดอาการวิตกกังวลได้ดีกว่าการให้ยาแบบเดิม และการลดอุณหภูมิร่างกายเป็นสิ่งที่การรักษาทั้งสองแบบให้ผลใกล้เคียงกัน</p> <p> การศึกษานี้สนับสนุนการให้ยาตามอาการ (Symptom-triggered regimen) มาใช้เป็นทางเลือกแรกในผู้ป่วยที่มีอาการถอนสุราระดับไม่รุนแรง รวมถึงการพัฒนาบุคลากรในการใช้แบบประเมิน AWS และการศึกษาในระยะยาวกับกลุ่มตัวอย่างที่ใหญ่ขึ้น รวมถึงความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์</p> 2025-01-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 ชัยภูมิเวชสาร https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16091 ผลสัมฤทธิ์ในการรักษาไวรัสตับอักเสบซี ด้วยรูปแบบการจัดบริการวินิจฉัย รักษาผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีด้วยวิธี Test and Treat ในโรงพยาบาลชัยภูมิ 2024-12-16T10:37:52+07:00 พนารัตน์ เพียงปราชญ์ poodoctor@gmail.com <p>การดำเนินงานกำจัดโรคไวรัสตับอักเสบ ซี (Hepatitis C Virus: HCV) ด้วยวิธี Test and Treat ซึ่งผนวกกระบวนการคัดกรองและการรักษาที่มีประสิทธิภาพ เป็นแนวทางใหม่ที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ การศึกษาเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของการรักษาสำเร็จจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น วัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อศึกษาความชุกของ HCV ในกลุ่มตัวอย่าง 7,075 ราย อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ปี พ.ศ.2567 และศึกษาผลการรักษา HCV ระหว่างรูปแบบเดิม (พ.ศ.2566) และวิธี Test and Treat (พ.ศ.2567) ในผู้ป่วย HCV ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชัยภูมิ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน t-test, Kaplan-Meier, Incidence risk difference, Incidence rate ratio</p> <p>ผลวิจัย พบว่า การคัดกรองผู้ป่วยประสบผลสำเร็จเกินเป้าหมายประมาณ 2 เท่า (เป้าหมาย 2,874 ราย ผลงาน 7,075 ราย) โดยพบผู้ป่วย HCV ในอัตราค่อนข้างต่ำ (ร้อยละ 2.5) และความเสี่ยงจากการคัดกรองส่วนใหญ่เป็นการใช้สิ่งของร่วมกัน (ร้อยละ 15.6) อย่างไรก็ตาม พบปัญหาสำคัญ คือ การสูญหายของข้อมูลบางส่วน เช่น ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ หรือข้อมูลส่วนบุคคล และในการรักษาผู้ป่วย HCV ด้วยรูปแบบเดิม (ตั้งแต่เริ่มเข้ารับการรักษาถึงสิ้นสุด) จำนวน 49 ราย รักษาสำเร็จ 15.16 ต่อ 100 คน-เดือน ใช้เวลาเฉลี่ยในการรักษา 5.30 เดือน ส่วนวิธี Test and Treat 53 ราย รักษาสำเร็จ 23.77 ต่อ 100 คน-เดือน ใช้เวลาเฉลี่ย 3.63 เดือน เปรียบเทียบวิธี Test and Treat มีอัตรารักษาสำเร็จมากกว่า 8.6 ต่อ 100 คน-เดือน (incidence rate diff.: 8.6; 95% CI: 0.5, 16.7; risk ratio: 1.57; 95% CI: 1.02, 2.41) ความแตกต่างดังกล่าว มีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.031) แต่หากพิจารณาจากเริ่มให้ยารักษาจนถึงสิ้นสุดการรักษา ไม่พบผลแตกต่างของการรักษาสำเร็จ (incidence rate diff.: 2.56; 95% CI: -9.40, 14.52; risk ratio: 1.09; 0.71, 1.67) ทั้งนี้ ความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างการรักษาทั้ง 2 วิธี คือ ระยะเวลา โดยวิธี Test and Treat ใช้เวลาสั้นกว่าราว 1.67 เดือน (Mean diff. = 1.67; 95% CI: 1.03, 2.31) </p> <p>ผลสรุปของการวิจัย การคัดกรองกลุ่มเสี่ยงประสบผลสำเร็จ แม้จะมีปัญหาบางส่วน และความชุกของ HCV ยังไม่สูงนัก ส่วนการรักษา วิธี Test and Treat มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงและใช้เวลาสั้น อย่างไรก็ตาม การพัฒนาระบบการเก็บข้อมูล การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน การปรับปรุงกระบวนการรักษา การพัฒนาบุคลากร และการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ ยังเป็นสิ่งที่ต้องปรับปรุง</p> 2025-01-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 ชัยภูมิเวชสาร https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/15839 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ ตำบลหนองบัวใหญ่ อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ 2024-12-02T10:20:08+07:00 กฤษณา ชาติไทย Gitatist@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงภาวะหกล้มในผู้สูงอายุกลุ่มติดสังคม ตำบลหนองบัวใหญ่ อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้สูงอายุจำนวน 272 ราย และใช้แบบสอบถามที่มีค่าความเที่ยง Alpha Coefficient เท่ากับ 0.75 ประกอบด้วย ข้อมูลทั่วไป ปัจจัยที่มีผลต่อการพลัดตกหกล้ม และความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนาและการทดสอบไคสแคว์เพื่อหาความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ</p> <p>ผลการศึกษาแสดงว่าผู้สูงอายุส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ย 68.87 ปี โดยมีประวัติการหกล้มในระยะ 1 ปี ที่ผ่านมา ร้อยละ 23.5 และจากการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน พบปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงการพลัดตกหกล้ม ได้แก่ ประวัติการหกล้มในระยะ 1 ปีที่ผ่านมา(x1) ปัจจัยสิ่งแวดล้อมภายนอกบ้าน (x2) ปัญหาการเดิน (x3) ปัญหาการมองเห็น (x4) สถานภาพสมรส (x5) และอาชีพ (x6) โดยมีสมการคาดการณ์ความเสี่ยงการพลัดตกหกล้ม คือ Y = 0.826 - 0.485x1 + 0.246x2 + 0.272x3 + 0.215x4 + 0.089x5 - 0.042x6 โดยสมการดังกล่าว สามารถอธิบายความสัมพันธ์ได้ร้อยละ 43.6 (Adjust R<sup>2 </sup>= 0.436, p-value &lt; 0.001)</p> <p>ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยหลายอย่างมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการหกล้มของผู้สูงอายุ การระบุปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จะช่วยในการวางแผนป้องกันและลดความเสี่ยงในการหกล้มในกลุ่มผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> 2025-01-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 ชัยภูมิเวชสาร https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16015 การพัฒนาเทคนิคการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองแบบไม่ฉีดสารทึบรังสี เพื่อลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับในโรงพยาบาลชัยภูมิ 2024-12-02T08:48:30+07:00 บุญธรรม โมทอง bmothong@gmail.com <p><strong>บทนำ</strong>: การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) มีประโยชน์ในการวินิจฉัยโรค แต่ก็มีความเสี่ยงจากรังสี โรงพยาบาลชัยภูมิมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาเทคนิคการตรวจ ให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ และเพิ่มประสิทธิภาพในการวินิจฉัยโรค</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อพัฒนาเทคนิคการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์สมองแบบไม่ฉีดสารทึบรังสี เพื่อลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับ และเปรียบเทียบปริมาณรังสีก่อนและหลังการพัฒนาเทคนิค</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: ช่วงก่อนพัฒนา ศึกษาระหว่าง ต.ค.65 - ก.ย.66 ในกลุ่มตัวอย่าง 130 ราย และช่วงพัฒนา ศึกษาระหว่าง ส.ค.- ก.ย.67 ทดลองในหุ่นจำลองและกลุ่มตัวอย่าง 130 ราย ปรับค่ากระแสหลอดคูณเวลาที่ระดับ 300 - 400 mAs เพื่อทดสอบค่าสัญญาณรบกวนภาพ (NI, SNR, CNR) และรายละเอียดความคมชัดของภาพ (HCSR, LCSR) รวมถึงปริมาณรังสีก่อนและหลังการพัฒนา ใช้สถิติทดสอบ Independent t-test.</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: ข้อมูลเบื้องต้นก่อนการพัฒนา ปริมาณรังสี CTDI<sub>vol</sub> อยู่ในเกณฑ์อ้างอิง (Mean = 54.94 ± 2.35 mGy) แต่ค่า DLP สูงกว่าเกณฑ์อ้างอิง (Mean = 1,065.17 ± 40.38 mGy.cm) จากการทดลองโดยหุ่นจำลองในการปรับลดค่ากระแสหลอดคูณเวลา ระหว่าง 300 – 400 mAs พบว่าการลด mAs เหลือ 350 mAs ทำให้ CTDI<sub>vol</sub> ลดลง 47.39 ± 2.16 mGy และ DLP ลดลง 933.15 ± 33.80 mGy.cm โดยยังคงคุณภาพสำหรับการแปลผล และจากการเปรียบเทียบปริมาณรังสีก่อนและหลังพัฒนา พบว่า CTDI<sub>vol</sub> ลดลง 7.55 หน่วย (95% CI: 6.99, 8.10) และ DLP ลดลง 132.02 หน่วย (95% CI: 122.93, 141.11) โดยความแตกต่างดังกล่าว มีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &lt; 0.05)</p> <p><strong> สรุป:</strong> เทคนิคการลด mAs ในการตรวจ CT สมองแบบไม่ฉีดสารทึบรังสีช่วยลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่กระทบต่อคุณภาพของภาพ และการพัฒนานี้เป็นก้าวสำคัญในการปรับปรุงกระบวนการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูง โดยมีศักยภาพในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการทางการแพทย์ในวงการรังสีวิทยา</p> 2025-01-06T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 ชัยภูมิเวชสาร https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16038 การศึกษาเปรียบเทียบระดับครีเอตินีนในเลือดและการทำงานของไตในผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก่อนและหลังเปลี่ยนมาใช้สูตรยาที่มี Dolutegravir และ Tenofovir disoproxil fumarate ในคลินิกยาต้านไวรัส โรงพยาบาลชัยภูมิ 2024-12-02T09:04:29+07:00 วิชาญ ปลื้มชัยภูมิ p_vicharn@hotmail.com <p>การศึกษาภาคตัดขวางนี้ (Cross-sectional study) มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบระดับครีเอตินีนในเลือดและอัตราการกรองของไตในผู้ป่วยเอชไอวีที่ได้รับสูตรยาที่มี Dolutegravir (DTG) และ Tenofovir disoproxil fumarate (TDF) ร่วมกับยาต้านไวรัสอื่น</p> <p> ศึกษาในผู้ป่วย 252 รายที่คลินิกยาต้านไวรัส โรงพยาบาลชัยภูมิ ระหว่างปี 2565 - 2567 แบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับ TDF ร่วมกับ Efavirenz หรือ Nevirapine (กลุ่ม 1, n=180) และกลุ่มที่ได้รับ TDF ร่วมกับ Atazanavir/ritonavir หรือ Lopinavir/ritonavir (กลุ่ม 2, n=72) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ t-test, Mann Whitney U test, Wilcoxon signed rank test และ Multiple logistic regression</p> <p> ผลการศึกษา หลังการติดตาม 4.0 เดือนที่เปลี่ยนมาใช้สูตรยาที่มี DTG ร่วมกับ TDF พบว่าทั้งสองกลุ่มมีระดับครีเอตินีนเพิ่มขึ้นและอัตราการกรองของไตลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.001) โดยที่กลุ่ม 1 มีการเปลี่ยนแปลงมากกว่ากลุ่ม 2 อย่างมีนัยสำคัญ (p&lt;0.05) นอกจากนี้ ยังพบอัตราการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางไต ถึงร้อยละ 29.4 โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ คือ ค่า eGFR ก่อนเปลี่ยนสูตรยา (adjusted OR=1.03; 95%CI: 1.01, 1.05)</p> <p> สรุปและข้อเสนอแนะ การเปลี่ยนมาใช้ยา DTG ร่วมกับ TDF มีผลต่อการทำงานของไต โดยผู้ที่เคยได้รับสูตรยาที่มี Efavirenz หรือ Nevirapine มีผลมากกว่า ควรมีการเฝ้าระวังและติดตามการทำงานของไตอย่างใกล้ชิด และเสนอให้มีการวิจัยต่อยอดศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เพื่อพัฒนากลยุทธ์ในการบริหารจัดการการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และลดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทางไตในอนาคต</p> 2025-01-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 ชัยภูมิเวชสาร https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/15876 การประเมินประสิทธิภาพหลอดเก็บเลือดชนิดใหม่สำหรับตรวจวิเคราะห์ HbA1c และ Glucose ในหลอดเดียว 2024-12-02T09:02:53+07:00 กชกร ทองสุขแก้ง lab_pk@hotmail.com <p>การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพของหลอดเก็บเลือด Innomed ซึ่งเป็นนวัตกรรมไทยสำหรับตรวจวัดระดับ Glucose และ HbA<sub>1c</sub> ในหลอดเดียวกัน</p> <p>วิธีการศึกษา: เก็บตัวอย่างเลือดจากกลุ่มคนปกติและผู้ป่วยเบาหวาน 40 ราย ที่โรงพยาบาลภูเขียวเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดชัยภูมิ เปรียบเทียบผลระหว่างหลอด Innomed กับหลอดมาตรฐาน NaF สำหรับ Glucose K<sub>3</sub>EDTA และ HbA<sub>1c</sub> วิเคราะห์โดยใช้สถิติ Paired t-test, One-way ANOVA และ Pearson correlation</p> <p>ผลการศึกษา: ระดับ Glucose ในหลอด Innomed และ NaF ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติตลอด 8 ชั่วโมง (p&gt;0.05) โดยในกลุ่มคนปกติพบการลดลงของระดับ Glucose มากกว่ากลุ่มผู้ป่วยเบาหวาน สำหรับค่า HbA<sub>1c</sub> ระหว่างหลอด Innomed และ K<sub>3</sub>EDTA มีความสัมพันธ์ในระดับสูง (R²=0.9991, p&lt;0.01)</p> <p>สรุป: หลอดเก็บเลือด Innomed มีประสิทธิภาพเทียบเท่าหลอดมาตรฐานในการตรวจวิเคราะห์ทั้ง Glucose และ HbA<sub>1c</sub> ช่วยลดการเจาะเลือดซ้ำ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการตัวอย่างในห้องปฏิบัติการ</p> 2025-01-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 ชัยภูมิเวชสาร https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16093 ผลการตรวจคัดกรองการได้ยินในทารกแรกเกิด โรงพยาบาลปากช่องนานา 2024-12-09T13:37:01+07:00 ฐิติมา หมื่นแสน nickiesstem@gmail.com <p><strong>ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา</strong>: ภาวะสูญเสียการได้ยินในทารกแรกเกิดมักไม่แสดงอาการภายนอก การตรวจคัดกรองตั้งแต่แรกเกิดจึงมีความสำคัญ หากเริ่มรักษาฟื้นฟูก่อนอายุ 6 เดือน เด็กจะมีพัฒนาการทางภาษาใกล้เคียงเด็กปกติ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาอัตราการได้ยินผิดปกติในทารกแรกเกิด และความชุกของปัจจัยเสี่ยงต่อการได้ยินผิดปกติในทารกแรกเกิด และศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยเสี่ยงที่มีผลต่อการคัดกรองการได้ยินที่ผิดปกติในทารกแรกเกิด</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: เป็นการศึกษาแบบ Descriptive study จากข้อมูลย้อนหลัง (Retrospective data collection)ในทารกแรกเกิดที่เกิดมีชีพทุกรายในโรงพยาบาลปากช่องนานา ที่มีอายุตั้งแต่ 2 วัน จนถึงอายุ 3 เดือน โดยใช้สถิติ Chi-square test และ Fisher’s Exact test และ Z-test for proportion</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: กลุ่มตัวอย่าง 2,254 ราย พบอัตราการได้ยินผิดปกติ 116 ราย คิดเป็นร้อยละ 5.2 โดยมีปัจจัยเสี่ยงสูง 3 ลำดับ คือ ทารกป่วยเข้าหอผู้ป่วยวิกฤตมากกว่า 5 วัน พบร้อยละ 4.3 ทารกได้รับยาฆ่าเชื้อกลุ่ม Aminoglycosides มากกว่า 5 วัน พบร้อยละ 3.4 และทารกที่มารดามีการติดเชื้อในขณะตั้งครรภ์ หรือติดเชื้อ Zika พบร้อยละ 0.5 ทั้งนี้ ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว มีความสัมพันธ์กับอัตราการได้ยินผิดปกติในทารก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05)</p> <p><strong>สรุป</strong>: อัตราการได้ยินผิดปกติในทารกแรกเกิด ยังพบได้ค่อนข้างน้อยจากการศึกษา อย่างไรก็ตาม ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง คือ ทารกแรกเกิดที่มีภาวะป่วยหนัก (ต้องพักรักษาตัวในหอผู้ป่วยวิกฤตเกิน 5 วัน) หรือได้รับยาปฏิชีวนะกลุ่ม Aminoglycosides เป็นระยะเวลานาน ผลการวิจัยนี้เน้นย้ำความสำคัญของการตรวจคัดกรองการได้ยินโดยเฉพาะในทารกกลุ่มเสี่ยง เพื่อตรวจพบปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ และเริ่มการรักษาได้ทันท่วงที</p> 2025-01-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 ชัยภูมิเวชสาร https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/15923 ความสัมพันธ์ระหว่างช่วงเวลาการเริ่มยาต้านไวรัสเอชไอวีภายหลังการวินิจฉัยกับการเปลี่ยนแปลงของระดับ CD4 และปริมาณเชื้อไวรัสในผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ ในการศึกษาระยะสั้น ที่โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา 2024-12-02T08:55:02+07:00 วรงค์ ลีลาอภิรดี warong_leela@hotmail.com <p><strong>บทนำ</strong>: ปัจจุบันแนวทางการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีแนะนำให้เริ่มยาต้านไวรัสได้ทันทีโดยไม่ต้องรอระดับปริมาณเม็ดเลือดขาว CD4 และมีหลักฐานว่าการเริ่มยาเร็วส่งผลดีต่อผลการรักษา อย่างไรก็ตาม ยังต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มยา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: ศึกษาข้อมูลผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์รายใหม่ และวิเคราะห์ความสัมพันธ์และเปรียบเทียบผลการรักษาทางคลินิกในแต่ละกลุ่มช่วงเวลาของการเริ่มยาต้านไวรัสด้วยสูตรมาตรฐาน</p> <p><strong>วิธีดำเนินการวิจัย</strong>: เป็นการศึกษาแบบภาคตัดขวาง ในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์รายใหม่ ในคลินิกรักษ์ภูมิ โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา ระหว่างเมษายน 2556 ถึง มิถุนายน 2564 ด้วยยาต้านไวรัสสูตรมาตรฐาน แบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเริ่มยาเร็วภายใน 15 วัน (Early ART) กลุ่มเริ่มยาปานกลาง ระหว่าง 16 – 29 วัน (Intermediate ART) และกลุ่มเริ่มยาช้า ตั้งแต่ 30 วันขึ้นไป (Late ART) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา, independent t-test, Z-test และ Pearson correlation</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: การศึกษานี้มีจำนวนตัวอย่าง 194 ราย ประกอบด้วย กลุ่ม Early ART (64 ราย) กลุ่ม Intermediate ART (54 ราย) และกลุ่ม Late ART (76 ราย) ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยที่เริ่มใช้ยาต้านไวรัสในกลุ่มเริ่มยาเร็ว (Early ART) มีระดับ CD4 และเปอร์เซ็นต์ CD4 เพิ่มสูงขึ้นกว่ากลุ่มอื่น ๆ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.001) นอกจากนี้ ยังพบว่า ผู้ป่วยในทุกกลุ่มสามารถควบคุมปริมาณเชื้อไวรัสได้ดีหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสเอชไอวี อย่างไรก็ตาม กลุ่มเริ่มยาช้า (Late ART) มีแนวโน้มที่จะควบคุมปริมาณเชื้อไวรัสได้ดีกว่ากลุ่มอื่น ๆ เล็กน้อย และการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวในแต่ละกลุ่มไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value &gt; 0.05) บ่งชี้ว่าการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัวไม่ได้สัมพันธ์โดยตรงกับช่วงเวลาในการเริ่มใช้ยา และระดับ CD4 และเปอร์เซ็นต์ CD4 ยังมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับระยะเวลาการเริ่มใช้ยาต้านไวรัส</p> <p><strong>สรุปผลการวิจัย</strong>: การเริ่มยาต้านไวรัสเอชไอวีภายใน 30 วันหลังการวินิจฉัยส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของระบบภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะระดับปริมาณเม็ดเลือดขาว CD4 และการบรรลุเป้าหมายการรักษา ผลการศึกษานี้สนับสนุนแนวทางการเริ่มยาเร็วในผู้ติดเชื้อรายใหม่ </p> 2025-01-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 ชัยภูมิเวชสาร https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/15861 เทคนิคทาง Machine Learning เพื่อการพัฒนางานการตรวจปัสสาวะสำหรับเพาะเชื้อ 2024-12-02T09:00:26+07:00 สมพร ทาบัว thabua_ks@hotmail.com <p>การตรวจวิเคราะห์ทางปัสสาวะ (UA) เป็นการตรวจที่ทำได้ง่ายและราคาไม่แพง การพบเม็ดเลือดขาวจะเป็นข้อบ่งชี้ว่ามีการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย การนำเทคนิคทาง Machine learning มาใช้ควบคุมคุณภาพปัสสาวะก่อนส่งตรวจเพาะเชื้อ สามารถลดภาระงานและลดค่าใช้จ่ายได้ </p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อพัฒนาและเปรียบเทียบประสิทธิภาพแบบจำลองที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพยากรณ์ผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะโดยใช้เทคนิคทาง Machine learning</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: ศึกษาข้อมูลย้อนหลังการส่งตรวจปัสสาวะสำหรับการเพาะเชื้อ ระหว่างปี 2565 และใช้ข้อมูลผลตรวจปัสสาวะ(UA) และผลเพาะเชื้อทางเดินปัสสาวะ (U/C) ทางห้องปฏิบัติการ จำนวน 345 ราย การทำแบบจำลองในโปรแกรม Orange: เทคนิคการสร้างแบบจำลองต่าง ๆ จะถูกเลือกเปรียบเทียบเป็นค่าที่เหมาะสมที่สุดและมีการประเมินโมเดลด้วยสถิติ ความไว ความจำเพาะ ค่าทำนายผลบวก ค่าทำนายผลลบและค่าความถูกต้อง</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: โมเดลต้นไม้ตัดสินใจ (Decision tree) เป็นแบบจำลองที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมที่สุดสำหรับการพยากรณ์ผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ซึ่งแสดงจำนวน WBC ≥ 3-5 cells/HPF ขึ้นไป มีความสอดคล้องกับการเกิดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ เมื่อประเมินแบบจำลองด้วยสถิติ พบว่าการใช้เกณฑ์การตรวจพบ WBC ≥ 3-5 cells/HPF ขึ้นไป มาคัดกรองการตรวจปัสสาวะสำหรับเพาะเชื้อ พบว่ามีความไวเท่ากับร้อยละ 96.0 ความจำเพาะร้อยละ 80.0 ค่าทำนายผลบวกเท่ากับร้อยละ 81.5 ค่าทำนายผลลบเท่ากับร้อยละ 96.0 และค่าความถูกต้องเท่ากับร้อยละ 88.0</p> <p><strong>สรุป</strong>: โมเดลต้นไม้ตัดสินใจ (Decision tree) เป็นแบบจำลองที่มีประสิทธิภาพและเหมาะสมที่สุดสำหรับการพยากรณ์ผู้ป่วยโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ การใช้ผลการตรวจปัสสาวะที่พบเม็ดเลือดขาวตั้งแต่ 3-5 cells/HPF ขึ้นไป สามารถนำมาเป็นแนวทางการตรวจคัดกรองการตรวจปัสสาวะสำหรับเพาะเชื้อได้</p> 2025-01-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 ชัยภูมิเวชสาร https://thaidj.org/index.php/CMJ/article/view/16109 สถานการณ์โรคติดต่อจากสัตว์สู่คนในผู้ป่วยจังหวัดชัยภูมิ : สเตร็พโตคอคคัส ซูอิส และแบบแผนความไวของเชื้อต่อยา 2024-12-12T07:57:40+07:00 วาริน หาญชนะ rinwawa2799@gmail.com <p><strong> <em>ความสำคัญของปัญหา</em>:</strong> <em>Streptococcus suis </em>(<em>S. suis</em>) เป็นแบคทีเรียแกรมบวกที่ก่อโรคจากสัตว์สู่คน(โรคไข้หูดับ) ในประเทศไทยมีอัตราป่วยตายถึงร้อยละ 4.7 - 8.0</p> <p><strong> <em>วัตถุประสงค์</em>:</strong> เพื่อศึกษาอัตราการติดเชื้อและแบบแผนความไวของเชื้อต่อยาต้านจุลชีพในโรงพยาบาลศูนย์ชัยภูมิ และเปรียบเทียบอัตราป่วยตายกับจังหวัดอื่นในเขตสุขภาพที่ 9</p> <p><strong> <em>วิธีดำเนินการ</em>:</strong> งานวิจัยเชิงวิเคราะห์ย้อนหลัง (Retrospective analytical research) ใช้ข้อมูลปี 2564 - 2567 จากสิ่งส่งตรวจผู้ป่วย 100 ราย วิเคราะห์ด้วยสถิติ Chi-square test, Kruskal-Wallis Test และ Mann-Whitney U Test</p> <p><strong> <em>ผลการศึกษา</em>:</strong> พบเชื้อ <em>S. suis</em> ในปี 2564 - 2567 คิดเป็นร้อยละ 0.2, 0.6, 0.5 และ 0.8 ตามลำดับ โดยปี 2564 พบเชื้อน้อยที่สุดอย่างมีนัยสำคัญ (P&lt; .05) เชื้อไวต่อยา Levofloxacin และ Vancomycin ร้อยละ 100 รองลงมาคือ Chloramphenicol และ Cefotaxime (ร้อยละ 91 และ 88) จากการตรวจตัวอย่าง 100 ราย พบเชื้อสูงสุดในเพศชาย (ร้อยละ 73) อายุเฉลี่ย 57.9 ปี และร้อยละ 92.0 พบในเลือด รองลงมาพบในน้ำไขสันหลัง (ร้อยละ 8.0) และเชื้อส่วนใหญ่พบมากสุดในแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน รองลงมาคือหอผู้ป่วยอายุกรรม ส่วนการระบาด มีการกระจายตัวในเขตจังหวัดชัยภูมิ อำเภอบำเหน็จณรงค์พบผู้ติดเชื้อสูงสุด 3 ปีต่อเนื่อง (2564-2566) และปี 2567 พบมากสุดที่อำเภอจัตุรัส (ร้อยละ 51.9) อัตราป่วยตายในเขตสุขภาพที่ 9 เรียงจากมากไปน้อย (P&lt; .05) คือ สุรินทร์ (ร้อยละ 12.5) บุรีรัมย์ (ร้อยละ 7.7) ชัยภูมิ (ร้อยละ 7.4) และนครราชสีมา (ร้อยละ 5.2)</p> <p><strong> <em>สรุป</em>:</strong> อัตราการติดเชื้อ <em>S. suis</em> ในชัยภูมิค่อนข้างคงที่ระหว่างปี 2564-2567 แต่พบความไวต่อยา Penicillin ลดลง อำเภอจัตุรัส เมือง เนินสง่า และเทพสถิต เป็นพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวัง การให้ความรู้เรื่องการบริโภคอาหารปรุงสุกและการป้องกันโรคติดต่อจากสัตว์สู่คนมีความสำคัญในการลดอุบัติการณ์โรคในอนาคต</p> 2025-01-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 ชัยภูมิเวชสาร