วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://thaidj.org/index.php/NRTC
<p><strong>The Primary Health Care Journal (Northern Edition)</strong> : Objectives are to support health science researches of health institutions at all levels and also to distribute their dedicated works and researches on public health.</p> <p><strong>Free access online</strong> : Free access online : Every 4 months or 3 issue per year (January - April, May - August, September - December)</p> <p><strong>Language</strong> : Abstract in English, Text in English or Thai</p> <p><strong>Focus and Scope</strong> : The Primary Health Care Journal (Northern Edition) welcomes all kinds of related articles health science. These included:</p> <p> 1.Academic Article<br /> 2.Research Article<br /> 3.Innovation Article</p> <p><strong>Peer Review Process</strong></p> <p> All submitted manuscripts must by reviewed by at least 2 expert reviewers via the double-blinded review system.</p> <p><strong>Publication Frequency</strong> : 3 issue per year</p> <p>No.1 (January - April) </p> <p>No.2 (May - August)</p> <p>No.3 (September - December)</p> <p><strong>Open Access Policy</strong> : This journal provides immediate open access to its content on the principle that making research freely available to the public supports a greater global exchange of knowledge.</p> <p><strong>Publishe</strong>r : Northern Regional Center for Primary Health Care Development</p> <p>ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ (Article processing charges: APC) : ไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ ยกเว้นกรณียกเลิกหรือถอนบทความหลังจากที่ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ (Peer Reviewers) พิจารณาแล้ว โดยผู้นิพนธ์จะต้องชำระค่าประเมินบทความ จำนวน 3,000 บาท</p>
ศูนย์พัฒนาการสาธารณสุขมูลฐานภาคเหนือ จังหวัดนครสวรรค์ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
th-TH
วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
3056-9621
-
สารบัญ
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16165
มฤคราช ไชยภาพ
ลิขสิทธิ์ (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3
-
คณะกรรมการกองบรรณาธิการ
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16153
มฤคราช ไชยภาพ
ลิขสิทธิ์ (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3
-
การประเมินผลโครงการการจัดบริการมินิธัญญารักษ์ในประเทศไทย
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/15799
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยประเมินผล (Evaluation Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการดำเนินงานตามรูปแบบการจัดบริการมินิธัญญารักษ์ในประเทศไทย ความเสี่ยงและปัญหาอุปสรรคในการให้บริการมินิธัญญารักษ์ กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษา คือ บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้ประสานงานในการจัดบริการมินิธัญญารักษ์ในโรงพยาบาลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 110 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น ผ่านตรวจสอบคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการศึกษาพบว่า การจัดบริการมินิธัญญารักษ์ในประเทศไทยจาก 12 เขตบริการสุขภาพ จำนวน 110 แห่ง มีจำนวนเตียงให้บริการทั้งหมด 1,844 เตียง แบ่งเป็น Intermediate care 1,040 เตียง และ Long term care 804 เตียง มีบุคลากรที่เกี่ยวข้องในการดูแล ประกอบด้วยแพทย์และพยาบาลแบบ Full time จำนวน 82 คน ใน 68 แห่ง มีการอบรมบุคลากรทางการแพทย์ในหลายหลักสูตร เช่น หลักสูตรมินิธัญญารักษ์ เวชศาสตร์ยาเสพติดสำหรับแพทย์ และหลักสูตรเฉพาะทางต่างๆ มีผู้ป่วยสะสมรวม 2,638 ราย เป็นผู้ป่วย Intermediate care จำนวน 2,298 ราย และผู้ป่วย Long term care จำนวน 340 ราย ผู้ป่วยใช้ยาบ้า/ยาไอซ์มากที่สุด เมื่อประเมินระดับความรุนแรงของผู้ป่วยด้วยแบบประเมินพฤติกรรมความก้าวร้าวรุนแรง (Overt Aggressive Scale: OAS) พบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่มีความรุนแรงระดับสีเหลือง ความเสี่ยงในการให้บริการที่สำคัญคือการลักลอบออกไปภายนอกสถานที่บำบัด และการทะเลาะวิวาท ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงาน ได้แก่ การขาดแคลนบุคลากร สถานที่ที่ไม่เหมาะสม งบประมาณไม่เพียงพอ และความไม่ชัดเจนในระบบการส่งต่อผู้ป่วย ข้อเสนอแนะจากการวิจัย คือ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขควรกำหนดโครงสร้างการจัดบริการมินิธัญญารักษ์ให้ชัดเจน มีกรอบอัตรากำลังบุคลากรประจำ และกำหนดบทบาทหน้าที่อย่างชัดเจน การจัดสรรงบประมาณให้เพียงพอและต่อเนื่อง กรมการแพทย์และกรมสุขภาพจิตให้ความสำคัญในการจัดอบรมบุคลากรให้มีความรู้ครอบคลุมและมีความเชี่ยวชาญในด้านที่จำเป็นต่อการให้บริการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติควรพัฒนาระบบการเบิกจ่ายในการบำบัดรักษาผู้ป่วยจิตเวชยาเสพติด</p>
มีนา ชูใจ
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3
1
10
-
การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนน ตำบลเหนือคลอง อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/15746
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบการวิจัยและพัฒนาโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนน ตำบลเหนือคลอง อำเภอเหนือคลอง จังหวัดกระบี่ เก็บข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถามในกลุ่มตัวอย่างเด็กและเยาวชนจำนวน 30 คน และการสนทนากลุ่มในผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนน จำนวน 60 คน วิเคราะห์ปัญหาการวางแผนเพื่อป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางถนนโดยใช้เทคนิคฮิยาริฮัตโตะ ตามกระบวนการวิจัยปฏิบัติการโดยใช้วงจรต่อเนื่องกัน 4 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นตอนการวางแผน (Plan) 2) ขั้นตอนการปฏิบัติ (Act) 3) ขั้นตอนการสังเกตผล (Observe) และ4) ขั้นตอนการสะทอนผล (Reflect) หรือวงจร PAOR</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย (ร้อยละ 65.73) อายุ 15-18 ปี (ร้อยละ 35.25) พฤติกรรมในการขับขี่ของเด็กและเยาวชนในเขตตำบลเหนือคลอง ส่วนใหญ่เดินทางมา โรงเรียนโดยขับรถจักรยานยนต์มาเอง (ร้อยละ 89.10) ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์ (ร้อยละ 90.00) ระดับความรู้อยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 94.95) ทัศนคติอยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 75.63) และพฤติกรรมในการขับขี่เพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางการจราจรอยู่ในระดับต่ำ (ร้อยละ 52.10) สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุในตำบลเหนือคลอง ส่วนใหญ่เป็นอุบัติเหตุทางถนน 258 ครั้ง (ร้อยละ 47.25) ส่วนใหญ่เป็นอุบัติเหตุจากรถ จักรยานยนต์ (ร้อยละ 75.52) อายุระหว่าง 10-29 ปี (ร้อยละ 84.45)</p> <p>ผลจากการสนทนากลุ่ม พบว่ารูปแบบการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนในการขับเคลื่อน ความปลอดภัยทางถนน ประกอบไปด้วย 1) การสร้างกลไกในการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนน 2) การพัฒนาระบบข้อมูลอุบัติเหตุในพื้นที่ การจัดทำข้อมูลสถานการณ์ และการนำเสนอผลการรับรู้และความตระหนักต่ออุบัติเหตุทางถนนของคนในชุมชน 3) การประชุมจัดทำแผนการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งเป็นแผนแบบบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานในชุมชน 4) การพัฒนาศักยภาพในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน เกิดแกนนำนักเรียนและแกนนำชุมชนที่มีพฤติกรรมการขับขี่ที่ปลอดภัย 5) การแจ้งเหตุหรือรายงานข่าวอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ จากผลการดำเนินงานพบว่า ระบบการป้องกันอุบัติเหตุจากการมีส่วนร่วมของชุมชนที่พัฒนาขึ้นสามารถผลักดันให้ทีมขับเคลื่อนการดำเนินงานป้องกันอุบัติเหตุและลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงได้ จากผลศึกษาครั้งนี้ให้ข้อเสนอแนะว่า ควรขยายพื้นที่ในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนนเป็นระดับอำเภอ</p>
Sakonwat Nanuan
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3
11
21
-
การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงในการดำเนินงานตามมาตรฐานสถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ลักษณะที่ 3 ศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 5
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/15844
<p>การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่ายสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงในการดำเนินงานตามมาตรฐานสถานประกอบการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ลักษณะที่ 3 กลุ่มตัวอย่าง คือ เจ้าของกิจการ ผู้ดำเนินการผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ ของสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ในพื้นที่ความรับผิดชอบของศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ จำนวน 93 คน การศึกษาประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การศึกษาสถานการณ์ การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของเครือข่าย และการประเมินผลลัพธ์ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียรสัน ผลการศึกษาสถานการณ์ก่อนดำเนินงาน พบว่า มาตรฐานทั้ง 3 ด้านมีบางข้ออยู่ระหว่างปรับปรุง การมีส่วนร่วมของเครือข่ายอยู่ระดับปานกลาง หลังการพัฒนารูปแบบ เครือข่ายสามารถดำเนินงานได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนดทุกด้านทุกข้อ การมีส่วนร่วมของเครือข่ายอยู่ในระดับมาก ความพึงพอใจต่อการมีส่วนร่วมการพัฒนากิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ลักษณะที่ 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก และพบว่าความพึงพอใจต่อคุณภาพการบริการมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจต่อการให้บริการของสถานประกอบการเพื่อสุขภาพประเภทกิจการการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิงภาพรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01</p>
นัยนา หาญธนะสุกิจ
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3
22
33
-
ผลของโปรแกรมป้องกันภาวะสมองเสื่อมต่อสมรรถภาพสมอง ของผู้สูงอายุในศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/15795
<p>การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง แบบกลุ่มเดี่ยว (Quasi-experimental research one Group Pretest Posttest Design) วัดผลก่อนและหลังทดลอง มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมป้องกันภาวะสมองเสื่อมต่อสมรรถภาพสมองของผู้สูงอายุในศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองนครสวรรค์ จำนวน 5 แห่งภายในความรับผิดชอบของโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้สูงอายุที่ได้รับการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 60 คน โดยมีผลการประเมิน Mini-Cog ผิดปกติ (คะแนน 0 – 3 ), ประเมินภาวะซึมเศร้าเป็นปกติ(TGDS คะแนนน้อยกว่า 7) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองได้แก่ โปรแกรมป้องกันภาวะสมองเสื่อม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลทั่วไป แบบทดสอบสมรรถภาพของสมองเบื้องต้นฉบับภาษาไทย (MMSE-Thai2002) แบบประเมินความรู้โรคสมองเสื่อม ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 75.0) อายุส่วนมากอยู่ในช่วง 70 - 74 ปี (ร้อยละ 35.0) สถานภาพสมรสคู่ (ร้อยละ 51.7) จบการศึกษาระดับประถมศึกษา (ร้อยละ 56.7) รายได้ต่อเดือนน้อยกว่า 5,000 บาท (ร้อยละ 68.3) มีคะแนนความรู้หลังทดลอง( x&#772 = 6.88 ,SD=2.07) สูงกว่าก่อนทดลอง( x&#772 = 4.25 ,SD=1.91) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 (P-value <0.001) และคะแนนสมรรถภาพสมอง (MMSE) หลังการทดลอง( x&#772 = 27.1, SD=2.541) สูงกว่าก่อนทดลอง( x&#772 = 25.53 ,SD=2.425) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 (P-value <0.001) สรุปได้ว่าการใช้โปรแกรมป้องกันภาวะสมองเสื่อมต่อสมรรถภาพของผู้สูงอายุในศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองนครสวรรค์มีผลช่วยเพิ่มค่าคะแนนเฉลี่ยสมรรถภาพสมอง ผลการวิจัยครั้งนี้สามารถนำไปจัดทำโครงการและจัดกิจกรรมเพื่อชะลอความเสื่อมและคงไว้ซึ่งความสามารถในการทำหน้าที่ทางกายและการป้องกันภาวะสมองเสื่อมในผู้สูงอายุ ส่งเสริมสุขภาพให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป</p>
ไอลดา มาเม่น
ภมรทิพย์ สาสนบูรณ์
พลอยไพลิน บุตสา
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3
34
43
-
ผลของการใช้กระบวนการมีส่วนร่วมต่อความรู้ พฤติกรรมและคุณภาพของน้ำมันทอดซ้ำ ของผู้ประกอบอาหารในชุมชน เทศบาลตำบลศรีพนมมาศ อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/15667
<p>การวิจัยกึ่งทดลองชนิดหนึ่งกลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลองครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้กระบวนการมีส่วนร่วมต่อความรู้ พฤติกรรมและคุณภาพของน้ำมันทอดซ้ำของผู้ประกอบอาหารในชุมชน เทศบาลตำบลศรีพนมมาศ อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ จำนวน 93 คนและน้ำมันทอดซ้ำ 60 ตัวอย่าง เครื่องมือประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับน้ำมันทอดซ้ำ แบบสอบถามพฤติกรรมการใช้น้ำมันทอดซ้ำหาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาโดยผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 3 ท่านมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.71 และ 0.69 ตามลำดับ และชุดทดสอบสารโพลาร์ในน้ำมันทอด ประสิทธิภาพของชุดทดสอบสารโพลาร์ในน้ำมันทอดมีความไวร้อยละ 95.00 และความแม่นยำร้อยละ 93.00 สามารถตรวจจับปริมาณสารโพลาร์ได้ตั้งแต่ร้อยละ 20.00 ของน้ำหนัก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired sample t-test และ Fisher’s exact test </p> <p>ผลการวิจัยพบว่าผู้ประกอบอาหารมีความรู้เกี่ยวกับการใช้น้ำมันทอดซ้ำและมีพฤติกรรมการใช้น้ำมันทอดซ้ำก่อนและหลังกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 ก่อนผู้ประกอบอาหารเข้าร่วมกระบวนการมีส่วนร่วมพบว่าน้ำมันทอดซ้ำยังไม่เสื่อมสภาพร้อยละ 20.00 น้ำมันทอดซ้ำใกล้เสื่อมสภาพร้อยละ 65.00 และน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพร้อยละ 15.00 หลังการเข้าร่วมโปรแกรมพบว่าน้ำมันทอดซ้ำยังไม่เสื่อมสภาพสูงขึ้นเป็นร้อยละ 45.00 น้ำมันทอดซ้ำใกล้เสื่อมสภาพลดลงเป็นร้อยละ 55.00 และไม่พบน้ำมันทอดซ้ำเสื่อมสภาพ เมื่อเปรียบเทียบคุณภาพของน้ำมันทอดซ้ำก่อนและหลังกระบวนการมีส่วนร่วมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001</p>
พิชชาภรณ์ ดำริธรรมเจริญ
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3
44
52
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานตามบทบาทการจัดบริการปฐมภูมิขั้นพื้นฐานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เขตสุขภาพที่ 3
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/15881
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานตามบทบาทการจัดบริการปฐมภูมิขั้นพื้นฐานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เขตสุขภาพที่ 3 กลุ่มตัวอย่างคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในเขตสุขภาพที่ 3 จำนวน 458 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลสถิติโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และการวิเคราะห์ถดถอยพหุขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัย พบว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านส่วนใหญ่ปฏิบัติงานตามบทบาทการจัดบริการปฐมภูมิขั้นพื้นฐานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในระดับมาก ร้อยละ 64.8 รองลงมาคือระดับปานกลาง ร้อยละ 32.1 ส่วนที่เหลือระดับน้อย ร้อยละ 3.1 ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานตามบทบาทการจัดบริการปฐมภูมิขั้นพื้นฐานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ได้แก่ การที่ในหมู่บ้าน/ชุมชน มีชมรมสร้างเสริมสุขภาพ/ชมรมออกกำลังกาย โดยมีอำนาจการพยากรณ์สูงสุด (Beta=0.188) รองลงมาคือ จำนวนหลังคาเรือนที่รับผิดชอบ (Beta=0.140) การได้รับการพัฒนาศักยภาพ/อบรม รอบ 1 ปี ที่ผ่านมา (Beta=0.136) แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน (Beta=0.129) การได้รับการคัดเลือกให้เป็น อสม. โดยชาวบ้านคัดเลือกในเวทีประชุม (Beta=0.095) และปัญหาอุปสรรคการปฏิบัติงาน (Beta= -0.114) ซึ่งตัวแปรพยากรณ์ทั้ง 6 ตัวร่วมกันพยากรณ์การปฏิบัติงานตามบทบาทการจัดบริการปฐมภูมิขั้นพื้นฐานโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ได้ร้อยละ 31.1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p>
ธีร์ปนกรณ์ ศุภกิจโยธิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3
53
63
-
การพัฒนาคุณภาพบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิสำหรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยใช้ชุมชนเป็นฐานร่วมกับการดำเนินงานของทีม 3 หมอ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16026
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิสำหรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังโดยใช้ชุมชนเป็นฐานร่วมกับการดำเนินงานของ ทีม 3 หมอ ในเขตพื้นที่อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง และ ประเมินผลการพัฒนา กลุ่มตัวอย่าง คือ ทีม 3 หมอจากหน่วยบริการปฐมภูมิ 14 แห่ง จำนวน 34 คน และผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จำนวน 300 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (multi-stage sampling) เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลผู้รับบริการและสมุดประจำตัวผู้ป่วยโรคเรื้อรัง แบบเก็บข้อมูลการแก้ไขปัญหาด้านยา แบบเก็บข้อมูลมูลค่ายาสำรองคงคลังหน่วยบริการปฐมภูมิ และแบบสอบถามที่ใช้วัดระดับความคาดหวังและการรับรู้ต่อคุณภาพบริการ ผลการศึกษาพบว่า การพัฒนารูปแบบบริการจากการให้บริการรายบุคคลในหน่วยบริการ เป็นการจัดเตรียมยารายบุคคลจากโรงพยาบาลและเภสัชกรออกดำเนินงานเชิงรุกในชุมชนรายหมู่บ้านร่วมกับการดำเนินงานของทีม 3 หมอ ทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงบริการเพิ่มขึ้น สามารถแก้ไขและป้องกันปัญหาด้านยาได้ มีความรุนแรงของโรคตามระบบปิงปอง 7 สีลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.013) โดยไม่มีความแตกต่างของจำนวนรายการยาที่ใช้ในการรักษาโรค (p=0.866) ทำให้มูลค่ายาสำรองคงคลังลดลง เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระดับความคาดหวังและการรับรู้ของผู้ให้บริการและผู้รับบริการต่อคุณภาพบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิ พบว่า ระดับการรับรู้และความคาดหวังมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ระดับการรับรู้มีค่าเฉลี่ยสูงกว่าความคาดหวังในทุกด้านของการบริการ (4.63±0.52 vs 4.50±0.63, p<0.001) คุณภาพบริการที่ระดับการรับรู้เกินกว่าความคาดหวังน้อย ควรจะได้นำมาแก้ไข ปรับปรุง คือ การสร้างความเชื่อมั่นว่ายาที่ได้รับมีมาตรฐานและปลอดภัย การสร้างเจตคติของเภสัชกรในการแสดงความเห็นอกเห็นใจเข้าใจผู้ป่วย และพยายามทำความรู้จักผู้ป่วย สรุปได้ว่า การพัฒนาคุณภาพบริการเภสัชกรรมปฐมภูมิ สำหรับผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังโดยใช้ชุมชนเป็นฐานร่วมกับการดำเนินงานของทีม 3 หมอ เป็นรูปแบบที่เพิ่มการเข้าถึงการบริการ ให้ผลการรักษาที่ดี ลดมูลค่ายาสำรองคงคลัง และเป็นรูปแบบบริการที่มีคุณภาพในมุมมองทั้งผู้รับบริการและผู้ให้บริการ</p>
นุชนภางค์ มณีวงศ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3
64
73
-
ปัจจัยทำนายภาวะเมตาบอลิกซินโดรมบุคลากรโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/15862
<p>ภาวะเมตาบอลิกซินโดรมเป็นปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบต่อคนทั่วโลก โดยเฉพาะบุคลากรโรงพยาบาลซึ่งต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพที่สูงขึ้น ผู้วิจัยต้องการศึกษาปัจจัยทำนายการเกิดภาวะ เมตาบอลิกซินโดรมในบุคลากรโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์</p> <p>ผลการวิจัย บุคลากรโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป ที่เข้ารับการตรวจสุขภาพกับกลุ่มงานอาชีวเวชกรรม และตอบแบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มงาน ปีงบประมาณ 2566 จำนวน 1,285 คน พบความชุกของภาวะเมตาบอลิกซินโดรมร้อยละ 29.81 (383คน) เพศชาย ร้อยละ 26.63 (102คน) เพศหญิง ร้อยละ 73.37 (281คน) ปัจจัยทำนายที่มีนัยสำคัญทางสถิติ วิเคราะห์แบบพหุตัวแปร ได้แก่ เพศชาย (OR = 1.17, 95% CI: 1.19-2.53, p 0.004) อายุ ≥ 49 ปี (OR = 1.81, 95% CI: 1.33-2.48, < 0.001) ดัชนีมวลกาย ≥ 23kg/m<sup>2</sup> (OR = 5.39, 95% CI: 1.25-23.26, p 0.024) การสูบบุหรี่ (OR = 2.97, 95% CI: 1.36-6.52, p < 0.006 และออกกำลังกาย < 3 วัน/สัปดาห์ (OR = 1.55, 95% CI: (1.12-2.14, p 0.007) นำปัจจัยเสี่ยงมาแปลงเป็นคะแนน พบจุดตัดคะแนน ≥ 40 เพิ่มความเสี่ยงภาวะเมตาบอลิกซินโดรม</p> <p>ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการส่งเสริมพฤติกรรมสุขภาพที่เหมาะสม ในบุคลากรโรงพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมน้ำหนัก การงดสูบบุหรี่และการออกกำลังกาย เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเมตาบอลิกซินโดรม</p>
บุญเรือน แก้วบังเกิด
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3
74
80
-
การพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างความรอบรู้เรื่องการนอนหลับที่ดี โดยใช้หลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต และการแพทย์ทางเลือก ในกลุ่มผู้รับบริการ คลินิกการแพทย์ทางเลือก ศูนย์อนามัยที่ 3 นครสวรรค์
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/15791
<p>การศึกษานี้เป็นการวิจัยและการพัฒนา (Research and Development) นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างความรอบรู้เรื่องการนอนหลับที่ดี โดยใช้หลักเวชศาสตร์วิถีชีวิตและการแพทย์ทางเลือก ศึกษาในกลุ่มผู้รับบริการ คลินิกการแพทย์ทางเลือก ศูนย์อนามัยที่ 3 นครสวรรค์ ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2567 – 30 กันยายน 2567 การศึกษาแบ่งเป็น 3 ระยะ ระยะที่ 1 ศึกษาวิถีชีวิต สถานการณ์ ปัญหาสุขภาพ และข้อมูลวิถีชีวิต 6 ด้าน ระยะที่ 2 พัฒนาโปรแกรมเสริมสร้างความรอบรู้เรื่องการนอนหลับที่ดี ระยะที่ 3 ประเมินผลของรูปแบบโปรแกรม ด้วยแบบประเมินวิถีชีวิต Lifestyle Assessment และแบบประเมินความรอบรู้สุขภาพ ผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 80 คน เป็นเพศหญิง ร้อยละ 55.00 เพศชาย ร้อยละ 45.00 อายุเฉลี่ย 61.44<u>+</u>8.24 ปี คะแนนความรอบรู้รวมทั้ง 6 ด้าน พบว่าคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ทั้ง 6 ด้าน เท่ากับ 54.37<u>+</u>23.70 อยู่ในระดับไม่ดี หลังการเข้าร่วมโปรแกรมคะแนนเฉลี่ยความรอบรู้ทั้ง 6 ด้านเท่ากับ 93.57<u>+</u>38.22 อยู่ในระดับดีมาก ผลการเปรียบเทียบค่ามัธยฐานคะแนนประเมินวิถีชีวิต 6 ด้าน ก่อนเข้าโปรแกรมเท่ากับ 28.0 (IQR = 26.0, 37.0) อยู่ในระดับเท่ากับค่าเฉลี่ย หลังเข้าโปรแกรมเท่ากับ 43.0 (IQR = 36.0, 45.0) อยู่ในระดับดีเยี่ยม โดยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 (P-Value <0.001) ข้อเสนอแนะ ควรมีการพัฒนาให้หลากหลาย ให้เหมาะสมกับพื้นที่และขยายพื้นที่การเก็บข้อมูล ไปใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ต่อไป</p>
ศิวพล สุวรรณบัณฑิต
นิตยา แซ่ลี้
ลิขสิทธิ์ (c) 2024 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3
81
91
-
บทบรรณาธิการ
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16154
มฤคราช ไชยภาพ
ลิขสิทธิ์ (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3
-
วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16152
มฤคราช ไชยภาพ
ลิขสิทธิ์ (c) 2024
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-12-27
2024-12-27
34 3