วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://thaidj.org/index.php/NRTC
<p><strong>The Primary Health Care Journal (Northern Edition)</strong> : Objectives are to support health science researches of health institutions at all levels and also to distribute their dedicated works and researches on public health.</p> <p><strong>Free access online</strong> : Free access online : Every 4 months or 3 issue per year (January - April, May - August, September - December)</p> <p><strong>Language</strong> : Abstract in English, Text in English or Thai</p> <p><strong>Focus and Scope</strong> : The Primary Health Care Journal (Northern Edition) welcomes all kinds of related articles health science. These included:</p> <p> 1.Academic Article<br /> 2.Research Article<br /> 3.Innovation Article</p> <p><strong>Peer Review Process</strong></p> <p> All submitted manuscripts must by reviewed by at least 2 expert reviewers via the double-blinded review system.</p> <p><strong>Publication Frequency</strong> : 3 issue per year</p> <p>No.1 (January - April) </p> <p>No.2 (May - August)</p> <p>No.3 (September - December)</p> <p><strong>Open Access Policy</strong> : This journal provides immediate open access to its content on the principle that making research freely available to the public supports a greater global exchange of knowledge.</p> <p><strong>Publishe</strong>r : Northern Regional Center for Primary Health Care Development</p> <p>ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ (Article processing charges: APC) : ไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ ยกเว้นกรณียกเลิกหรือถอนบทความหลังจากที่ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ (Peer Reviewers) พิจารณาแล้ว โดยผู้นิพนธ์จะต้องชำระค่าประเมินบทความ จำนวน 3,000 บาท</p>
ศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพที่ 3 กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
th-TH
วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
3056-9621
-
การลดระยะเวลารอคอยในแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลจิตเวชด้วยกรอบแผนภาพเพชรคู่: กรณีสมมติข้อเสนอเชิงระบบ
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16799
<p>ระยะเวลาการรอคอยสำหรับการรับบริการของแผนกผู้ป่วยนอก (OPD) ในโรงพยาบาลจิตเวชเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพการให้บริการ และความพึงพอใจของผู้รับบริการ บทความนี้มุ่งเสนอการลดระยะเวลารอคอยการรับบริการ OPD ของโรงพยาบาลจิตเวช จากกรณีสมมติด้วยแผนภาพเพชรคู่ (Double Diamond Diagram) ที่เป็นแผนภาพแสดงกระบวนการคิดเชิงออกแบบ (Design thinking) แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ ค้นหา (Discover) นิยาม (Define) พัฒนา (Develop) และส่งมอบ (Deliver) ที่จะถูกนำมาประยุกต์ใช้เพื่อแสดงกระบวนการคิดเชิงแก้ไขปัญหา โดยนำเสนอผ่านกรณีสมมติแสดงศักยภาพการลดเวลาของ OPD ในโรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่ง ที่ลดระยะเวลารอคอยเฉลี่ยจาก 280 นาที เหลือ 105 นาที (ลดลงร้อยละ 62.5%) บทความนี้จึงชี้ให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการลดระยะเวลารอคอยอย่างมีประสิทธิผล ด้วยแนวคิดการออกแบบเชิงระบบที่ยึดผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง</p>
ศุภกฤต จึงพิภานิชกุล
โฆษิต ฉันทนารุ่งภักดิ์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
1
13
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการจัดการตนเองต่อพฤติกรรมสุขภาพและระดับน้ำตาล ในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ตำบลภูน้ำหยด อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16743
<p>การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยกึ่งทดลองแบบสองกลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลองเพื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพ และระดับน้ำตาลในเลือดของกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเอง และระหว่างกลุ่มทดลอง กับกลุ่มควบคุมก่อนและหลังได้รับโปรแกรมการจัดการตนเอง กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้จำนวน 60 คน กำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างเกณฑ์โพลิตและแบ็ค (Polit and Back) ตามคุณสมบัติที่กำหนด แบ่งเป็นกลุ่มทดลองจำนวน 30 คน และกลุ่มควบคุม จำนวน30 คน โดยแบ่งเข้ากลุ่มตามหลักของการเท่าเทียมกัน ทั้งเพศ อายุ และระดับน้ำตาลในเลือด กลุ่มทดลองเข้าร่วมโปรแกรมการจัดการตนเอง ระยะเวลา 8 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มควบคุมให้การดูแลตามแผนการรักษาปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามพฤติกรรมสุขภาพ และโปรแกรมการจัดการตนเองตรวจสอบคุณภาพความตรงเชิงเนื้อหาได้ค่า CVI เท่ากับ 1 ความเชื่อมั่นของแบบสอบถามได้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาครอนบาค เท่ากับ 0.801 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปคือสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบความแตกต่างโดยใช้สถิติเชิงอนุมาน ด้วยสถิติ Paired t-test และ Independent t-test </p> <p>ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มทดลองมีพฤติกรรมสุขภาพและระดับน้ำตาลในเลือดหลังการทดลองดีกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <. 001) คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมสุขภาพและระดับน้ำตาลในเลือด หลังการทดลอง ของกลุ่มทดลองดีกว่ากลุ่มควบคุมอย่างนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <.001) จากการวิจัยพบว่าการส่งเสริมการจัดการตนเอง สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มตัวอย่าง และส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ดังนั้นจึงควรมีการส่งเสริมให้ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้มีการจัดการตนเองต่อเนื่องเพื่อลดภาวะแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นตามมา</p>
ปุริมปรัชญ์ อ่ำตาบ
รัศมี สุขนรินทร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
14
27
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ ตำบลแม่นาเรือ อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16808
<p>การวิจัยกึ่งทดลองมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุตำบลแม่นาเรือ อำเภอเมืองพะเยา จังหวัดพะเยา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้สูงอายุจำนวน 56 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 28 คน ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 รวมทั้งสิ้น 2 เดือน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย 1) โปรแกรมการพัฒนาพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้ม ใช้ระยะเวลา 8 สัปดาห์ และ 2) แบบสอบถาม ประกอบด้วย ข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้ในการป้องกันการพลัดตกหกล้ม ทัศนคติในการป้องกันการพลัดตกหกล้ม และพฤติกรรมในการป้องกันการพลัดตกหกล้มของผู้สูงอายุ โดยวัดผลก่อนเข้าร่วมโปรแกรมและหลังเสร็จสิ้นโปรแกรม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา Paired t-test และ Independent t-test ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการทดลองกลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ในการป้องกันการพลัดตกหกล้ม ทัศนคติในการป้องกันการพลัดตกหกล้ม และพฤติกรรมในการป้องกันการพลัดตกหกล้มสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ดังนั้นหน่วยงานด้านสาธารณสุขสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการป้องกันการพลัดตกหกล้ม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้มในผู้สูงอายุ</p>
มณุเชษฐ์ มะโนธรรม
พิชญาภา ปาวงค์
กัญยาณี พวงรัตน์
ปิยะณัฐ สุดใหญ่
กัญญารัตน์ พุ่มพฤกษ์
ปภัสฉรา ลำตาล
นภัสรา เหมือนทองดี
ปิยะณัฐ นามวงษา
ธีรพัฒน์ บุญประเสริฐ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
28
41
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในชุมชน โดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16824
<p>การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในชุมชนโดยอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน กลุ่มเป้าหมายคือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและผู้ป่วยเบาหวาน ตำบลท่าหลวง อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา รวม 70 คน สุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ตามระเบียบวิธีวิจัยเชิงปฏิบัติการ ผลการศึกษาพบว่า ก่อนเริ่มการศึกษาวิจัย อสม. มีบทบาท เป็นทีมสุขภาพ โดยการนำของเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในเขตรับผิดชอบ ด้านตัวผู้ป่วยเอง เน้นการเข้ารับยาตามนัดหมาย การปรับพฤติกรรมตนเองตามคำแนะนำยังน้อย ภายหลังการนำรูปแบบการศึกษานี้ไปใช้ ส่งผลให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน มีความมั่นใจในการดูแลและมีแผนการดูแลผู้ป่วยเบาหวานของตัวเอง แบ่งเบาภาระเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในการดูแลผู้ป่วย และญาติก็ให้การยอมรับคำแนะนำและเข้าร่วมกิจกรรมการปรับพฤติกรรมสุขภาพ โดยมีรูปแบบ 7 ขั้นตอน คือ 1) พัฒนาศักยภาพการเยี่ยมเสริมพลังแก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน 2) สร้างสัมพันธภาพกับผู้ป่วย 3) ร่วมวิเคราะห์ปัญหากับผู้ป่วย 4) ร่วมหาทางเลือกกับผู้ป่วย 5) เยี่ยมเสริมพลัง 6) ผู้ป่วยดูแลตนเอง 7) ติดตามผลการดูแลตนเองของผู้ป่วย ส่งผลให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน มีความรู้เพิ่มขึ้นและมีความมั่นใจในการวางแผนดูแลผู้ป่วย ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยร้อยละ 85 สามารถดูแลตนเองได้ตามเป้าหมาย และมีความพึงพอใจต่อรูปแบบสูงถึงร้อยละ 87 ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การเสริมพลังอำนาจให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานอย่างต่อเนื่องในชุมชน</p>
นพดล ครุธน้อย
ถวัลย์ ชูแสง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
42
52
-
ประสบการณ์และทัศนคติของผู้ป่วยมะเร็งในการใช้น้ำต้มใบมะละกอ : การศึกษาแบบผสมผสาน
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16825
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์และทัศนคติของผู้ป่วยโรคมะเร็งต่อการใช้น้ำต้มใบมะละกอในการดูแลสุขภาพ การศึกษานี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณและงานวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคมะเร็งและมีประสบการณ์การใช้น้ำต้มใบมะละกอในการดูแลสุขภาพ ระยะเวลาเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือน มกราคม ถึง มีนาคม 2567 หลังได้รับอนุมัติจริยธรรมในมนุษย์ โรงพยาบาลการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ผสมผสาน เลขที่ T001/67_EXP โดยทำการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึกชนิดกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา และบรรยายเชิงเนื้อหาให้เห็นถึงประสบการณ์และทัศนคติการใช้น้ำต้มใบมะละกอ ของผู้ป่วยโรคมะเร็งในการดูแลสุขภาพ</p> <p>ผลการศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 18 คน พบว่า ส่วนใหญ่เป็นมะเร็งเต้านม ร้อยละ 38.89 ที่มีสถานะรักษาครบตามแผนการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน แต่มีความประสงค์ที่จะเสริมการดูแลสุขภาพด้วยการดื่มน้ำต้มใบมะละกอ ซึ่งเตรียมโดยการต้มเคี่ยวครั้งละ 1 แก้วกาแฟ รับประทานวันละ 2–3 เวลา ผลการประเมินตนเองของกลุ่มตัวอย่างหลังการดื่มน้ำต้มใบมะละกอ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ (n=10) รายงานว่ามีอาการทั่วไปดีขึ้น ได้แก่ รับประทานอาหารได้มากขึ้น นอนหลับดีขึ้น และมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บางรายมีอาการไม่พึงประสงค์หลังการใช้ เช่น การขับถ่ายเพิ่มขึ้นผิดปกติ อาการปวดมวนท้อง และอาการพะอืดพะอม ขณะเดียวกัน กลุ่มตัวอย่างบางรายไม่สามารถประเมินผลลัพธ์หลังการดื่มน้ำต้มใบมะละกอได้อย่างชัดเจน ด้านทัศนคติ พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความคาดหวังว่าน้ำต้มใบมะละกออาจช่วยบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งได้</p> <p>การศึกษาครั้งนี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงประสบการณ์การใช้สมุนไพรดังกล่าวในเชิงพื้นฐานของผู้ป่วยแต่ละบุคคล ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้รับมีความแตกต่างกันไป ทั้งนี้ ยังมีความจำเป็นต้องดำเนินการศึกษาวิจัยทางคลินิกเพิ่มเติมเพื่อประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยของการใช้น้ำต้มใบมะละกอในผู้ป่วยมะเร็งอย่างเป็นระบบต่อไปในอนาคต</p>
เจนจิรา สุขเจริญจิต
ปรีชา หนูทิม
พิมพ์ลดา พงศ์ชัยชานนท์
ชุติวัต หยู่ทองอินทร์
จักรเวทย์ ต้นแทน
ศรีสุภัค นันทา
ลักขณา รามวงศ์
ยุทธนา บุญกัน
เขมานันท์ จูมทอง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
53
66
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16828
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย กลุ่มตัวอย่างคือ อสม. จำนวน 720 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบขั้นตอน กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า แรงสนับสนุนทางสังคม แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน และการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคของ อสม. อยู่ในระดับสูง ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคของ อสม. ได้แก่ ความมั่นคงในงาน การประเมินคุณค่า โอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งงาน การศึกษาระดับอนุปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และสภาพในการทำงาน ตัวแปรทั้ง 5 ตัว ร่วมกันพยากรณ์การปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคของ อสม. ได้ ร้อยละ 18.7 ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรประเมินคุณค่าของผลการปฏิบัติงาน สร้างความมั่นคงในงานและโอกาสก้าวหน้าในตำแหน่งงาน และปรับปรุงสภาพในการทำงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคของ อสม. อย่างต่อเนื่อง</p>
ยุทธนา แยบคาย
กชบดินฐ พลชนะ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
67
77
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานสุขภาพจิตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16848
<p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนามีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานสุขภาพจิตชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก กลุ่มตัวอย่างคือ อสม. จำนวน 330 คน ได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นระบบ เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์ถดถอยพหุแบบขั้นตอน กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต การมีส่วนร่วม และการปฏิบัติงานสุขภาพจิตชุมชนของ อสม. อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนแรงสนับสนุนทางสังคมและแรงจูงใจในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานสุขภาพจิตชุมชนของ อสม. ได้แก่ แรงจูงใจในการปฏิบัติงาน ความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต การฝึกอบรม อสม. เชี่ยวชาญ สาขาสุขภาพจิตชุมชน และการมีส่วนร่วม ซึ่งตัวแปรทั้ง 4 ตัวร่วมกันพยากรณ์การปฏิบัติงานสุขภาพจิตชุมชนของ อสม. ได้ ร้อยละ 33.0 ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเพิ่มแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของ อสม. พัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพจิต ขยายการฝึกอบรม อสม. เชี่ยวชาญ สาขาสุขภาพจิตชุมชน ให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย และสร้างการมีส่วนร่วมระหว่าง อสม. และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องให้มากยิ่งขึ้น</p>
ยุทธนา แยบคาย
จุฬาลักษณ์ ขันคำ
สุธีธิดา กลมกลอม
กฤษฎนัย ศรีใจ
จีรภัทร์ รัตนชมภู
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
78
90
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย จังหวัดลำปาง
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16854
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยในจังหวัดลำปาง โดยใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา 4 ระยะ ได้แก่ (1) ศึกษาองค์ประกอบของการนำรูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทยไปใช้ในชุมชน ผ่านการสนทนากลุ่มกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 13 คน (2) พัฒนารูปแบบการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย (3) ศึกษานำร่องในพื้นที่ต้นแบบกับอาสาสมัคร อายุ 45-59 ปี จำนวน 30 คน ประเมินผลจากความรู้ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ การยอมรับของชุมชน คุณภาพชีวิต ความพึงพอใจ และการสังเกตพฤติกรรม (4) ประเมินประสิทธิภาพและปรับปรุงรูปแบบ โดยสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 10 คน ใช้แบบประเมินประสิทธิภาพ ข้อมูลเชิงปริมาณวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ paired samples t-test ข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์เนื้อหา</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบของกระบวนการนำรูปแบบไปใช้ประกอบด้วย องค์ความรู้ การสร้างและแลกเปลี่ยนความรู้ การติดตามและประเมินผล และการขยายผล รูปแบบที่พัฒนาประกอบด้วยการอบรม 1 ครั้ง และติดตาม 4 ครั้ง ในระยะเวลา 1 เดือน ผลการประเมินประสิทธิผล พบว่า คะแนนความรู้ พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ คุณภาพชีวิต และการยอมรับของชุมชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (p-value < .05) ด้านประสิทธิภาพพบว่าอยู่ในระดับมากขึ้นไป ใช้งบประมาณต่ำ เน้นการพัฒนาความฉลาดรู้และการปรับใช้กิจกรรมให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้และวิถีชีวิตชุมชน มีศักยภาพในการขยายผลสู่ช่วงวัยอื่นโดยอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน ทั้งนี้ควรสร้างความต่อเนื่องผ่านการติดตามเพื่อให้เกิดความยั่งยืน</p>
วรรณา ดำเนินสวัสดิ์
ประยุทธ ศรีกระจ่าง
กนกวรรณ บัณฑุชัย
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
91
103
-
การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16842
<p>การวิจัยและพัฒนานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและประเมินผลรูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานชนิด ที่ 2 ในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในจังหวัดพิษณุโลก การวิจัยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ศึกษาสถานการณ์ด้วยการสนทนากลุ่ม 13 คน สอบถาม อสม. 397 คน และผู้ป่วยเบาหวาน 407 คน 2) การออกแบบและพัฒนาโปรแกรมดูแลผู้ป่วยเบาหวาน 3) ทดลองใช้โปรแกรมกับ อสม. โดยจับคู่ดูแลผู้ป่วย 32 คน สร้างกลุ่มไลน์สนับสนุนการดำเนินงาน และ 4) ประเมินความรอบรู้ ความรู้ ทักษะในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานของ อสม. พฤติกรรมสุขภาพของผู้ป่วย และความพึงพอใจต่อรูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวาน</p> <p>ผลวิจัย พบว่า รูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานของ อสม. ดำเนินด้วยการเสริมพลังอำนาจเชิงจิตวิทยา โดยการอบรมความรู้ การสร้างความรอบรู้สุขภาพ การฝึกทักษะ และการเสริมพลังอำนาจเชิงโครงสร้างโดยการมอบบทบาทหน้าที่ การสนับสนุนเครื่องมือและเทคโนโลยีดิจิตอล การจับคู่บัดดี้ การจัดตั้งกลุ่มไลน์ ซึ่งส่งผลให้ อสม. มีความรู้ในโรคเบาหวาน มีความรอบรู้และความสามารถในการสื่อสาร ความเชื่อมั่นในสมรรถนะตนเอง การมีช่องทางสื่อสาร ความไว้วางใจของคู่บัดดี้ หลังทดลองใช้รูปแบบ พบว่า อสม.มีคะแนนความรอบรู้ ความรู้ และทักษะขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) ผู้ป่วยมีพฤติกรรมสุขภาพดีขึ้น ค่าน้ำตาลในเลือดปลายนิ้วลดลงอย่างมีนัยสำคัญ (p<.001) ทั้ง อสม.และผู้ป่วยพึงพอใจต่อโปรแกรมฯ ในระดับมาก ดังนั้น จึงควรนำหลักการเสริมพลังอำนาจ โดยการพัฒนาความรอบรู้สุขภาพ การฝึกทักษะการดูแลผู้ป่วย การดูแลผู้ป่วยแบบบัดดี้ และการตั้งกลุ่มไลน์มาใช้ในการดูแลผู้ป่วยเบาหวานในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุข</p>
รัศมี สุขนรินทร์
ฉัตรชัยกานท์ สุขนรินทร์
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
104
117
-
ปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคปอดในชุมชน ของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดแพร่
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16820
<p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคปอดในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดแพร่ กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดแพร่ จำนวน 388 คน โดยใช้สุ่มอย่างง่าย การเก็บรวบรวมข้อมูล แบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย<br />เลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุ </p> <p>ผลการศึกษา พบว่า ความรู้เกี่ยวกับวัณโรคปอดอยู่ในระดับปานกลาง (????̅ = 10.00, S.D. = 1.39) ทัศนคติเกี่ยวกับวัณโรคปอดอยู่ในระดับปานกลาง (????̅ = 27.68, S.D. = 3.49) อุปสรรคในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุม<br />วัณโรคปอดในชุมชน อยู่ในระดับปานกลาง (????̅ = 24.84, S.D. = 5.19) ความต้องการการสนับสนุนในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคปอดในชุมชน อยู่ในระดับสูง (????̅ = 33.34, S.D. = 4.57) และการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคปอดในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน อยู่ในระดับต่ำ (????̅ = 7.42, <br />S.D. = 3.06) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคปอดในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน ได้แก่ ระยะเวลาที่เป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน (r = 0.032) ประสบการณ์การผ่านการอบรมเกี่ยวกับวัณโรค (r = 0.022) และความต้องการการสนับสนุนในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคปอดในชุมชน (r = 0.230) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 โดยปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติงาน<br />เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคปอดในชุมชนของอาสาสมัครสาธารณสุขประจําหมู่บ้าน ได้แก่ การได้รับการอบรมเกี่ยวกับวัณโรคปอด (β = 0.783) อุปสรรค ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคปอดในชุมชน <br />(β = 0.080) และความต้องการการสนับสนุนในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคปอดในชุมชน <br />(β = 0.188) ตามลำดับ ตัวแปรอิสระทั้ง 3 ตัว สามารถอธิบายความแปรปรวนในการปฏิบัติงานได้ร้อยละ 17.7 <br />(<em>R<sup>2</sup></em> = 0.177) ดังนั้น ควรกำหนดนโยบาย และจัดทำแนวทางในการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมวัณโรคปอดในชุมชน เพื่อให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านสามารถนำความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิผลต่อไป</p>
วงศกร ราชปันติ๊บ
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
118
130
-
สารบัญ
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/17248
อุทิศ จิตเงิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
-
หน้าปก
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/17246
อุทิศ จิตเงิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
-
บทบรรณาธิการ
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/17250
อุทิศ จิตเงิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3
-
บรรณาธิการ
https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/17247
อุทิศ จิตเงิน
ลิขสิทธิ์ (c) 2025
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2025-12-12
2025-12-12
35 3