วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ) https://thaidj.org/index.php/NRTC <p><strong>The Primary Health Care Journal (Northern Edition)</strong> : Objectives are to support health science researches of health institutions at all levels and also to distribute their dedicated works and researches on public health.</p> <p><strong>Free access online</strong> : Free access online : Every 4 months or 3 issue per year (January - April, May - August, September - December)</p> <p><strong>Language</strong> : Abstract in English, Text in English or Thai</p> <p><strong>Focus and Scope</strong> : The Primary Health Care Journal (Northern Edition) welcomes all kinds of related articles health science. These included:</p> <p> 1.Academic Article<br /> 2.Research Article<br /> 3.Innovation Article</p> <p><strong>Peer Review Process</strong></p> <p> All submitted manuscripts must by reviewed by at least 2 expert reviewers via the double-blinded review system.</p> <p><strong>Publication Frequency</strong> : 3 issue per year</p> <p>No.1 (January - April) </p> <p>No.2 (May - August)</p> <p>No.3 (September - December)</p> <p><strong>Open Access Policy</strong> : This journal provides immediate open access to its content on the principle that making research freely available to the public supports a greater global exchange of knowledge.</p> <p><strong>Publishe</strong>r : Northern Regional Center for Primary Health Care Development</p> <p>ค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ (Article processing charges: APC) : ไม่มีค่าธรรมเนียมในการตีพิมพ์ ยกเว้นกรณียกเลิกหรือถอนบทความหลังจากที่ผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความ (Peer Reviewers) พิจารณาแล้ว โดยผู้นิพนธ์จะต้องชำระค่าประเมินบทความ จำนวน 3,000 บาท</p> th-TH northern.journal67@gmail.com (Utit Chitngern) northern.journal67@gmail.com (Maruekarat Chaiyaphap) Fri, 29 Aug 2025 20:00:08 +0700 OJS 3.2.1.1 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 ศึกษากระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุพื้นที่ อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16577 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและกระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุในโรงเรียนผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปที่เข้าร่วมโรงเรียนผู้สูงอายุ จำนวน 284 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูลคือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์เชิงลึก สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน</p> <p> ผลการศึกษา พบว่า คุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ( ค่าเฉลี่ย = 3.44, S.D. = 0.36) คุณภาพชีวิตด้านสิ่งแวดล้อม มีค่าเฉลี่ยสูงสุด อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 3.58, S.D. = 0.51) รองลงมาคือ คุณภาพชีวิตด้านจิตใจ อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 3.54, S.D. = 0.45) และคุณภาพชีวิตด้านร่างกาย อยู่ในระดับปานกลาง ( ค่าเฉลี่ย = 3.39, S.D. = 0.38) น้อยที่สุดคือ คุณภาพชีวิตด้านสัมพันธภาพทางสังคม อยู่ในระดับปานกลาง ( ค่าเฉลี่ย = 3.25, S.D. = 0.50) กระบวนการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ หลักสูตรที่ใช้ จัดทำโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายครอบคลุมทั้งมิติสุขภาพกาย สุขภาพใจและสติปัญญา ประกอบด้วย 3 กลุ่มวิชา คือ (1) วิชาชีวิต ความรู้ ทักษะที่นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน (ร้อยละ 60) (2) วิชาชีพ การส่งเสริมความรู้ ทักษะด้านอาชีพที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุ (ร้อยละ 20) และ(3) วิชาการสร้างความรอบรู้ความเข้าใจในเรื่องต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อผู้สูงอายุ (ร้อยละ 20) จากผลการศึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลไปใช้บูรณาความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุเพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> คุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ, โรงเรียนผู้สูงอายุ</p> สุวิชญา สีตะวัน, พัชรี สีตะวัน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16577 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ความรอบรู้ดิจิทัลที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16618 <p> ความรอบรู้ดิจิทัล หรือทักษะความเข้าใจ และใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นทักษะด้านดิจิทัลพื้นฐานที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการปฏิบัติงาน การสื่อสาร และการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวางนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรอบรู้ดิจิทัลที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี จำนวน 325 คน ได้จากการสุ่มแบบหลายขั้นตอน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม และวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา การทดสอบสถิติไค-สแควร์ การทดสอบของฟิชเชอร์ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า ความรอบรู้ดิจิทัล และการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย = 3.61, SD = 0.71) ( ค่าเฉลี่ย= 3.63, SD = 0.62) ขณะที่ความรอบรู้ดิจิทัลมีความสัมพันธ์ในภาพรวมอยู่ในระดับสูง (r=.651) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>=&lt;0.01) และ จากการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ พบว่าตัวแปรความรอบรู้ดิจิทัล ด้านการปรับตัวสู่การเปลี่ยนแปลงดิจิทัล สามารถร่วมอธิบายความแปรปรวนของการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีค่า R-square เท่ากับ 0.454 เมื่อพิจารณารายตัวแปรพบว่า ความรอบรู้ดิจิทัลด้านการปรับตัวสู่การเปลี่ยนแปลงดิจิทัล (β = 0.675, p &lt; 0.01) มีผลกระทบเชิงบวกต่อการปฏิบัติงานของ อสม. อย่างมีนัยสำคัญ</p> <p> หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการการฝึกอบรมควรเน้นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการปฏิบัติงานจริง ร่วมกับการสนับสนุนการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่าง อสม. รุ่นใหม่และรุ่นเก่า เพื่อสร้างการเรียนรู้ร่วมกันและส่งเสริมการปรับตัวเข้าสู่การปฏิบัติงานในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> พันธะกานต์ ยืนยง, ญาณันธร กราบทิพย์, ชัญณัชชา บุญรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16618 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลทันตสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ตำบลบ้านกลาง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16604 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลทันตสุขภาพของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) กลุ่มตัวอย่าง คือ อสม. ตำบล<br />บ้านกลาง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ จำนวน 196 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่ผ่านตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ และหาค่าความเชื่อมั่นได้เท่ากับ 0.76 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบไคสแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05</p> <p>ผลการวิจัย พบว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ส่วนใหญ่มีความรู้เกี่ยวกับการดูแลทันตสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 50.50 มีทัศนคติเกี่ยวกับการดูแลทันตสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 58.70 และมีพฤติกรรมการดูแลทันตสุขภาพอยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 65.30 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลทันตสุขภาพ ของ อสม. ได้แก่ อายุ (r = 0.167, p-value = 0.020) และความรู้เกี่ยวกับการดูแลทันตสุขภาพ <br />(r = 0.206, p-value = 0.004) ดังนั้นเจ้าหน้าที่สาธารณสุขควรมีการพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการดูแลทันตสุขภาพให้แก่ อสม.อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีความรู้เพิ่มมากขึ้นซึ่งจะส่งผลทำให้อสม. มีพฤติกรรมการดูแลทันตสุขภาพที่ถูกต้องมากขึ้นด้วย</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong> : พฤติกรรมการดูแลทันตสุขภาพ, ความรู้, ทัศนคติ, อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน</p> ภัศรา เรืองน้อย, ถาวร มาต้น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16604 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 สถานการณ์การฝากครรภ์และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง ของหญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการในหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิมะค่า อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16650 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยแบบผสมผสานนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์ ปัญหาอุปสรรค และปัจจัยที่มีอิทธิพล<br />ต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการในหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ ผู้ให้ข้อมูลสำคัญคือ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานด้านการให้บริการคลินิกฝากครรภ์ จำนวน 12 คน กลุ่มตัวอย่างคือ หญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการในหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ จำนวน 91 คน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลหญิงตั้งครรภ์ แบบสัมภาษณ์ และแบบสอบถาม ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามอยู่ระหว่าง 0.77-0.88 วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและการวิเคราะห์สรุปอุปนัย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตราฐาน สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และสถิติการถดถอยพหุคุณ ด้วยวิธีการแบบ Stepwise Regression</p> <p> ผลการศึกษาพบว่า หญิงตั้งครรภ์ครั้งแรกอายุเฉลี่ย 25.68 ปี ส่วนใหญ่สถานภาพการสมรสคู่ (ไม่จดทะเบียน) ร้อยละ 60.8 รายได้ของครอบครัวเฉลี่ยต่อเดือน 18,848.10 บาท ร้อยละ 78.5 ใช้สิทธิการรักษาบัตรทอง 30 บาท อยู่ในเขตรับบริการ ร้อยละ 77.2 หญิงตั้งครรภ์ที่มารับบริการ ร้อยละ 40.5 เป็นการฝากครรภ์ครั้งที่ 2 และร้อยละ 36.7 เป็นการฝากครรภ์ครั้งที่ 1 ร้อยละ 64.0 ฝากครรภ์แรก ≤ 12 สัปดาห์ ร้อยละ 60.8 อายุครรภ์เฉลี่ย 11.8 สัปดาห์ ฝากครรภ์ไม่ครบ 5 ครั้งคุณภาพ มากถึงร้อยละ 62.0 ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่า ส่วนใหญ่ไม่พบการติดเชื้อหรือโรคติดต่อ (HBsAg, VDRL, HIV) ร้อยละ 98.7 มีค่าฮีโมโกลบินและฮีมาโตคริตในเกณฑ์ปกติ ร้อยละ 90.0 แต่ยังพบผู้มีสถานะพาหะธาลัสซีเมีย (Hb typing EA/A2A และผล DCIP บวก) ในสัดส่วนเล็กน้อย ร้อยละ 1.3 ด้านระบบการบริการคลินิกฝากครรภ์ของหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิ ดำเนินงานและติดตามหญิงตั้งครรภ์<br />โดยเชื่อมโยงนโยบายผ่าน อสม. และให้บริการตามมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข แต่เผชิญข้อจำกัดด้านโครงสร้าง อุปกรณ์ และขาดบุคลากรเฉพาะทาง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ พบว่า ตัวแปรที่สามารถร่วมกันทำนาย (พยากรณ์) ของพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของหญิงตั้งครรภ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ การเข้าถึงหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิคลินิกฝากครรภ์ และนโยบายเกี่ยวกับการส่งเสริมสุขภาพหญิงตั้งครรภ์ สามารถอธิบายการทำนายได้ร้อยละ 50.6 (R2 = 0.506)</p> <p> สรุป การฝากครรภ์แรก ≤ 12 สัปดาห์ของหญิงตั้งครรภ์ อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่ากระทรวงสาธารณสุขกำหนด <br />การฝากครรภ์ไม่ครบ 5 ครั้งคุณภาพ ยังอยู่ในสัดส่วนที่สูง ด้านระบบการบริการคลินิกฝากครรภ์ของหน่วยบริการสุขภาพปฐมภูมิยังมีข้อจำกัดด้านโครงสร้าง อุปกรณ์ และขาดบุคลากรเฉพาะทาง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสม เพิ่มการอบรมความเชี่ยวชาญให้บุคลากร เพื่อความมั่นใจและผลักดันให้หญิงตั้งครรภ์สามารถมาฝากครรภ์ครบตามเกณฑ์และเข้าถึงระบบบริการได้ง่ายขึ้น</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> การฝากครรภ์, พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง, ระบบบริการสุขภาพปฐมภูมิ, การเข้าถึงบริการสุขภาพ, บริการสุขภาพแม่และเด็ก</p> ภัทรภร นนทกรชยางกูร, ภูนรินทร์ สีกุด, ชาลินี มานะยิ่ง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16650 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าช้าง ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16606 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี PRECEDE Framework เพื่อศึกษาข้อมูลส่วนบุคคล ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริม และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพ ช่องปากของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 และหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลส่วนบุคคล ปัจจัยนำ ปัจจัยเอื้อ ปัจจัยเสริมกับพฤติกรรม<br />การดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ตำบลท่าช้าง ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 102 คน เครื่องมือที่ใช้ เป็นแบบสอบถาม แบบสอบถามนี้<br />มีค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC = 0.96 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ไค-สแควร์ และสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน กำหนดระดับนัยสำคัญ 0.05</p> <p>ผลการวิจัยพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 70.60 อายุ 60 ปีขึ้นไป ร้อยละ 52.90 รายได้ครอบครัว 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 51.96 จบการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น ร้อยละ 36.27 ระยะเวลาเฉลี่ยที่เป็นโรคเบาหวาน 8.24 ปี ปัจจัยนำมีความรู้ระดับต่ำ ( = 7.75, S.D.= 7.755) ทัศนคติระดับปานกลาง ( = 2.08, S.D.= 0.299) ปัจจัยเอื้อด้านการเข้าถึงแหล่งบริการทันตกรรมระดับปานกลาง ( = 1.96, S.D.= 0.420) ปัจจัยเสริมด้านการได้รับการสนับสนุนจากบุคคลระดับสูง ( = 2.35, S.D.= 0.523) และการได้รับข้อมูลข่าวสารระดับต่ำ <br />( = 2.09, S.D.= 0.585) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยโรคเบาหวาน<br />ชนิดที่ 2 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 คือ ระดับการศึกษา ( <sup>2</sup>= 5.549) รายได้ครอบครัว (r = 0.293) ความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปาก (r = 0.247) ทัศนคติเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปาก (r = 0.346) การได้รับ<br />การสนับสนุน (r = 0.524) การได้รับข้อมูลข่าวสาร (r = 0.575) ดังนั้น ควรจัดอบรมให้ความรู้และปรับทัศนคติเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่องปากแก่ผู้ป่วยเบาหวาน เพื่อป้องกันความเสี่ยงต่อโรคในช่องปากในอนาคต</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong> :</strong> ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2, พฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปาก, PRECEDE Framework</p> นพวรรณ แก้วแดง, ถาวร มาต้น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16606 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าช้าง ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16602 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยครั้งนี้เป็นวิจัยเชิงพรรณนา (Descriptive Study) โดยประยุกต์ใช้ทฤษฎี KAP Model <br />เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลท่าช้าง ตำบลตาลเดี่ยว อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ขนาด<br />กลุ่มตัวอย่างจำนวน 166 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และใช้สถิติเชิงอนุมาน ทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ Chi - Square และ Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> <p>ผลการศึกษา พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่มีความรู้ระดับสูง ร้อยละ 39.80 ( =10.40, S.D.=2.678) ทัศนคติระดับสูง ร้อยละ 60.20 ( =2.60, S.D.=0.490) และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองระดับปานกลาง ร้อยละ 53.60 ( =2.46, S.D.=0.500) ส่วนความรู้และทัศนคติ พบว่า มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 (r = 0.397, P - value &lt; 0.001), (r = 0.569, P - value &lt; 0.001 ตามลำดับ) จากผลการวิจัยนี้ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการจัดการเพื่อส่งเสริมการให้ความรู้ และปรับเปลี่ยนทัศนคติ ในประเด็นที่ยังมีความรู้และทัศคติที่ยังไม่ถูกต้อง <br />ซึ่งจะส่งผลดีต่อพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองที่ดีขึ้นของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ต่อไป</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> พฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเอง, ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง, รูปแบบความรู้ ทัศนคติ พฤติกรรม</p> ยุวัฒน์ฉัตร ยาโต, ถาวร มาต้น ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16602 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ ด้วยการนับคาร์บโดยกลไกอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านและภาคีเครือข่ายชุมชนจังหวัดเชียงใหม่ https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16729 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p>การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยเบาหวานของจังหวัดเชียงใหม่ 2) พัฒนารูปแบบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ด้วยการนับคาร์บ โดยกลไกอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) <br />และภาคีเครือข่ายชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ 3) ประเมินผลของรูปแบบฯ การดำเนินงานแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การศึกษาสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยเบาหวานกลุ่มตัวอย่างจำนวน 50 คน ระยะที่ 2 การพัฒนารูปแบบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน ฯ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 26 คน และกลุ่มตัวอย่าง<br />ที่ใช้รูปแบบจำนวน 72 คน และระยะที่ 3 การประเมินผลรูปแบบฯ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 79 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก และแนวคำถามการสนทนากลุ่ม การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Paired t-test และ Repeated-measures ANOVA</p> <p>ผลการศึกษาพบว่า สถานการณ์การดูแลผู้ป่วยเบาหวานโดยระบบบริการของรัฐยังไม่ครอบคลุม<br />และมีความล่าช้าเนื่องจากมีผู้ป่วยจำนวนมาก รูปแบบการดูแลผู้ป่วยเบาหวานโดยครอบครัวและชุมชน<br />ยังไม่เป็นระบบเท่าที่ควร การพัฒนารูปแบบการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 <br />ที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้ด้วยการนับคาร์บ โดยใช้โมเดล 4 C ได้แก่ การกำหนดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลางของกระบวนการ (Center of the Process) การนับคาร์บ (Carbohydrate counting) การให้ อสม.เป็นโค้ช<br />ด้านสุขภาพ (Health Coach) ดูแลผู้ป่วยใกล้ชิดในระดับครัวเรือน และการสร้างเครือข่ายดูแลผู้ป่วยที่เชื่อมโยงกันในชุมชน (Networking Community Connectivity) มีผลทำให้ผู้ป่วยมีความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองดีขึ้น ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p&lt;0.05) เมื่อเปรียบเทียบกับก่อนการใช้รูปแบบ ดังนั้น รูปแบบที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปขยายผลในพื้นที่อื่น ๆ เพื่อให้การดำเนินงานควบคุมโรคเบาหวานมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่ควบคุมน้ำตาลไม่ได้, การนับคาร์บ, อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน, ภาคีเครือข่ายชุมชน, จังหวัดเชียงใหม่</p> สาคร ไชยอำมาตย์, ปรีชา ชัยชนันท์, จิราภรณ์ ชิตตระกูล ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16729 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อตามแนวชายแดนไทย-ลาว โดยใช้กลไกผู้นำชุมชนและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดน่าน https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16677 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและเพื่อประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อตามแนวชายแดนไทย-ลาว โดยใช้กลไกผู้นำชุมชนและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน จังหวัดน่าน กลุ่มผู้ให้ข้อมูลในการวิจัยคัดเลือกแบบเจาะจง ได้แก่ ผู้นำชุมชนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน และเจ้าหน้าที่ภาครัฐในพื้นที่จุดผ่อนปรนชายแดนไทย-ลาว ได้แก่ 1) จุดผ่อนปรน บ้านใหม่ชายแดน อำเภอสองแคว 2) จุดผ่อนปรนบ้านน้ำปี้ อำเภอเวียงสา 3) จุดผ่อนปรน<br />บ้านห้วยสะแตงอำเภอทุ่งช้าง และ 4) จุดผ่อนปรนบ้านเปียงซ้อ อำเภอเฉลิมพระเกียรติ รวมจำนวน 188 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบและแบบสอบถาม แบบสนทนากลุ่ม แบบสัมภาษณ์ <br />แบบการสังเกตและบันทึกภาคสนาม และการอภิปรายกลุ่ม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าที ข้อมูลเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ก่อนการพัฒนาผู้นำชุมชน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน <br />มีความรู้ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่ออยู่ในระดับปานกลาง มีทักษะในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่ออยู่ในระดับปานกลาง มีพฤติกรรมการเฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุมโรคอยู่ในระดับน้อย <br />และมีส่วนร่วมในการดำเนินงานอยู่ในระดับปานกลาง ผลการพัฒนารูปแบบการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อตามแนวชายแดนไทย-ลาว โดยใช้กลไกผู้นำชุมชนและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน <br />มีข้อสรุปที่เหมาะสม ประกอบด้วย 1) ด้านการวางแผนกลยุทธ์การเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อ<br />ตามแนวชายแดน 2) ด้านการพัฒนาศักยภาพของผู้นำชุมชนและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในการ<br />เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อตามแนวชายแดน 3) ด้านการพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อการ<br />เฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อตามแนวชายแดน 4) ด้านการเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือ<br />ในการปฏิบัติงานเฝ้าระวังป้องกันและควบคุมโรคติดต่อตามแนวชายแดน ประสิทธิผลของการพัฒนาผู้นำชุมชนและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน โดยการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของความรู้ ทักษะ พฤติกรรม และ<br />การมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อในชุมชน ระยะก่อนและหลังพัฒนา พบว่า ค่าเฉลี่ยหลังการพัฒนาสูงกว่าก่อนการพัฒนาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05</p> อิสรภาพ มาเรือน, ชุมพล สุทธิ, แชน อะทะไชย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16677 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะชมรมผู้สูงอายุเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจาก การใช้สารเสพติดประเภทกัญชาในผู้สูงอายุ จังหวัดน่าน https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16675 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p> การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบและประเมินประสิทธิผลรูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะชมรมผู้สูงอายุเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการใช้สารเสพติดประเภทกัญชาในผู้สูงอายุ จังหวัดน่าน กลุ่มตัวอย่างเชิงปริมาณ ได้แก่ คณะกรรมการชมรมผู้สูงอายุในพื้นที่อำเภอสันติสุข อำเภอทุ่งช้าง อำเภอเวียงสา อำเภอปัว และอำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน จำนวน 200 คน กลุ่มตัวอย่างเชิงคุณภาพ ได้แก่ ประธาน รองประธาน และเลขานุการชมรมผู้สูงอายุ ในพื้นที่วิจัยจำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม แนวคำถามการสนทนากลุ่ม แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แบบการสังเกตและการบันทึกภาคสนาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที และการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา</p> <p> ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านสภาพ สถานการณ์ และศักยภาพชมรมผู้สูงอายุ พบว่า ผู้สูงอายุมีความรู้ และบทบาทในการป้องกันและลดผลกระทบจากการใช้สารเสพติดประเภทกัญชาในระดับปานกลาง และมี เจตคติในระดับมาก ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้กัญชา คือ การมีนโยบายกัญชาทางการแพทย์ การรับรู้ข่าวสารกัญชาจากสื่อออนไลน์ และการขาดความรู้เกี่ยวกับทางกฎหมายกัญชาและบทลงโทษ ผลกระทบ ได้แก่ การสิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย การเสี่ยงต่อความเจ็บป่วยที่เกิดจากการใช้ยากัญชาที่ไม่ได้มาตรฐาน จุดแข็งและโอกาสการพัฒนา ได้แก่ ผู้นำชุมชนและชมรมผู้สูงอายุให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมสุขภาพ มีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องสมาชิกของตนเอง 2) รูปแบบการเสริมสร้างสมรรถนะชมรมผู้สูงอายุเพื่อป้องกันและลดผลกระทบจากการใช้สารเสพติดประเภทกัญชา มีองค์ประกอบ 4 ด้าน ได้แก่ (1) การจัดทำแผนกลยุทธ์ (2) การเสริมสร้างสมรรถนะชมรมผู้สูงอายุ (3) การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนและภาคีเครือข่าย และ (4) การรณรงค์ป้องกันและลดผลกระทบจากการใช้สารเสพติดประเภทกัญชา ประสิทธิผลของรูปแบบ พบว่า หลังทดลองใช้รูปแบบฯ ผู้สูงอายุมีความรู้ เจตคติ และบทบาทในการป้องกันและลดผลกระทบจากการใช้สารเสพติดประเภทกัญชาสูงกว่าก่อนดำเนินการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีการจัดกิจกรรมรณรงค์และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับผลกระทบของกัญชาในชุมชนอย่างต่อเนื่อง มีการบูรณาการเนื้อหาความรู้เรื่องการใช้กัญชาในหลักสูตรโรงเรียนผู้สูงอายุ ชุมชนและภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วมในการดำเนินงานระดับมากที่สุด และผู้สูงอายุมีความพึงพอใจต่อรูปแบบในระดับมาก ร้อยละ 90.10 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำรูปแบบที่ได้จากการวิจัยนี้ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่อื่น ๆ ที่มีสภาพปัญหาในลักษณะเดียวกัน รวมถึง ในกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงาน</p> อิสรภาพ มาเรือน, ชุมพล สุทธิ, ฌัชชภัทร พานิช ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16675 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 ประสิทธิภาพการจัดการระดับความเสี่ยงทางการเงินในโรงพยาบาลวังโป่ง https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16641 <p> การวิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลังครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพการจัดการความเสี่ยงทางการเงินของโรงพยาบาลวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยใช้ข้อมูลจากรายงานแผนทางการเงิน (PlanFin) และระบบบัญชีเกณฑ์คงค้าง ครอบคลุมปีงบประมาณ พ.ศ. 2565–2567 กลุ่มตัวอย่างคือข้อมูลการเงินภายในโรงพยาบาลจำนวน 45 รายการ ซึ่งคัดเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูล 3 ชุด ได้แก่ รายงานแผนทางการเงิน การประเมินความเสี่ยงทางการเงินตามเกณฑ์ Risk Scoring และการประเมินประสิทธิภาพการจัดการทางการเงินตามเกณฑ์ Grade Plus วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ อัตราส่วน และค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยพบว่า ระดับความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มจาก 0 ในปี 2565 เป็น 1 ในปี 2566 และยังคงอยู่ที่ 1 ในปี 2567 จากการลดลงของกำไรสุทธิและทุนสำรองสุทธิ ขณะที่ Grade Plus อยู่ในระดับ A– ในปี 2565 เพิ่มเป็น A ในปี 2566 และลดลงเป็น B– ในปี 2567 ทำให้ Matrix Grading เป็น 0A–, 1A และ 1B– ตามลำดับ สะท้อนแนวโน้มความเปราะบางทางการเงินที่เพิ่มขึ้น แม้ระดับความเสี่ยงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ Operating Margin และ ROA ไม่ผ่านเกณฑ์ในปี 2567</p> <p> ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่ การเพิ่มรายได้จากบริการเฉพาะทาง การควบคุมค่าใช้จ่ายตามกระแสเงินสด และการพัฒนาการบริหารลูกหนี้และหนี้การค้าเพื่อเสริมเสถียรภาพทางการเงินของโรงพยาบาลชุมชน</p> สุภาวดี ตั้งเมืองทอง ลิขสิทธิ์ (c) 2025 วารสารสาธารณสุขมูลฐาน (ภาคเหนือ) https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16641 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 สารบัญ https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16876 อุทิศ จิตเงิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16876 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 บรรณาธิการ https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16873 อุทิศ จิตเงิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16873 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 บทบรรณาธิการ https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16874 อุทิศ จิตเงิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16874 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700 หน้าปก https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16872 อุทิศ จิตเงิน ลิขสิทธิ์ (c) 2025 https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/NRTC/article/view/16872 Fri, 29 Aug 2025 00:00:00 +0700