https://thaidj.org/index.php/TJCP/issue/feed เภสัชกรรมคลินิก 2024-12-18T18:00:28+07:00 วรรณพร วัฒนะวงษ์ wannapornk2013@gmail.com Open Journal Systems <p>สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขโดยกองบริหารการสาธารณสุขได้จัดทำวารสารเภสัชกรรมคลินิก (Clinical Pharmacy Journal) เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้าน เภสัชกรรมคลินิก เภสัชกรรมโรงพยาบาลและเภสัชสาธารณสุข ของเภสัชกรกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่าง ๆ และเป็นสื่อกลางในการนำเสนอบทความวิชาการด้านเภสัชกรรมคลินิกและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 จนถึงปี 2559 (Print ISSN 0858-8538) ในวารสารปีที่ 23 ได้ปรับปรุงรูปแบบวารสารใหม่ให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล โดยการปรับเป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ (Online ISSN 2673-0162) ฉบับปีที่ 27 ได้เปลี่ยนชื่อวารสารเป็น Thai Journal of Clinical Pharmacy (Online ISSN 2774-0625) กำหนดตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน; ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม; ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</p> <p>-----------------------------------------------------------------------------------</p> <p>ขอเชิญชวนส่งบทความ online เพื่อลงในวารสารเภสัชกรรมคลินิก <strong>โปรดอ่านรายละเอียด</strong> หรือ download คู่มือและคำแนะนำได้จาก side bar ด้านข้างขวามือของหน้าเว็บไซต์ หัวข้อ "<strong>คู่มือ และ คำแนะนำ</strong>"</p> <p><strong>ขั้นตอนดำเนินการหลังจากส่งบทความ</strong></p> <ol> <li>ระบบวารสารออนไลน์จะส่งอีเมลอัตโนมัติ แจ้งขอบคุณที่ท่านได้ส่งต้นฉบับบทความมายังวารสาร</li> <li>บรรณาธิการ จะส่งอีเมลตอบรับที่จะพิจารณาบทความของท่าน ผ่านกระทู้ของระบบวารสารออนไลน์ซึ่งอาจจะให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงบทความเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิทำการประเมินบทความ พร้อมทั้งแจ้งเลขที่บัญชีธนาคารของชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข สำหรับการโอนชำระค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์บทความ<br />ค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์บทความ ประกอบด้วย ค่าตอบแทนการประเมินบทความ ค่าจัดหน้าตีพิมพ์บทความ รวมทั้งสิ้น 3,000 บาท ต่อบทความ</li> <li>เมื่อผู้นิพนธ์ได้รับแจ้งตอบรับจากบรรณาธิการแล้ว โปรดดำเนินการปรับปรุงบทความเบื้องต้น (ถ้ามี) ชำระค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์บทความ และส่งสลิปการโอนเงิน ผ่านทางกระทู้ของระบบวารสารออนไลน์</li> <li>บรรณาธิการส่งบทความของท่านให้ผู้ทรงคุณวุฒิดำเนินการประเมินบทความโดยปกปิดชื่อผู้นิพนธ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</li> <li>บรรณาธิการแจ้งผลประเมินบทความให้ท่านได้รับทราบ และดำเนินการแก้ไข และผู้นิพนธ์ส่งบทความที่แก้ไขแล้วให้บรรณาธิการวารสาร โดยระบบวารสารออนไลน์</li> <li>บรรณาธิการวารสารส่งบทความที่แก้ไขให้กับผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาอีกครั้ง หรือส่งจัดหน้าตีพิมพ์ (ตามความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ)</li> </ol> https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15070 ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการบาดเจ็บที่ไตในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านเอชไอวีสูตรต่าง ๆ 2024-08-27T10:09:32+07:00 สุริยา แก้วภูมิแห่ suriya.kaewpoomha@gmail.com จิรนันท์ โชติธรรมนาวี jiranan.cho@mahidol.ac.th <p><strong>ความเป็นมา: </strong>ภายหลังการเปลี่ยนสูตรยาต้านเอชไอวีเป็น dolutegravir (DTG) based พบว่า ผู้ป่วยมีแนวโน้มเกิดการบาดเจ็บที่ไตมากขึ้นกว่าการใช้ยาสูตรเดิม อย่างไรก็ตามยังไม่มีความชัดเจนว่าการบาดเจ็บที่ไตเป็นผลจากปัจจัยใดบ้าง</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> ศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กับการบาดเจ็บที่ไตและศึกษาการฟื้นตัวกลับของไตหลังเกิดการบาดเจ็บ</p> <p><strong>วิธีวิจัย:</strong> การศึกษาเชิงพรรณาแบบย้อนหลัง เก็บข้อมูลจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ในผู้ที่ได้รับยาต้านเอชไอวีที่คลินิกผู้ติดเชื้อเอชไอวี ระหว่างเดือน เมษายน ถึง กันยายน พ.ศ.2565 ประเมินการบาดเจ็บที่ไต จากการเกิด acute kidney injury หรือ proximal renal tubulopathy ภายใน 12 เดือนหลังเข้าร่วมวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติถดถอยโลจีสติกส์ ติดตามการฟื้นตัวกลับของไตต่ออีก 6 เดือนหลังเกิดการบาดเจ็บที่ไต วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณา</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> ผู้ป่วย 300 ราย อายุเฉลี่ย 43.64<u>+</u>10.59 ปี ได้รับ tenofovir disoproxil fumarate (TDF)+ dolutegravir (DTG) based ร้อยละ 60.33 ปัจจัยที่สัมพันธ์ต่อการบาดเจ็บที่ไต ได้แก่ TDF+DTG-based 18.45 เท่า (95%CI: 2.32-146.77) DTG-based 14.59 เท่า (95%CI: 1.44-148.33) เมื่อเทียบกับ no TDF+DTG-based และกลุ่มที่ดัชนีมวลกาย &lt;18.5 kg/m<sup>2</sup> 3.53 เท่า (95%CI: 1.19-10.50) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่มีดัชนีมวลกาย &gt;23 kg/m<sup>2</sup> การฟื้นตัวกลับของไตหลังเกิดการบาดเจ็บ 43 ราย ฟื้นตัวกลับอย่างสมบูรณ์ร้อยละ 9.30 โดยใน TDF+DTG-based 38 ราย ฟื้นตัวกลับอย่างสมบูรณ์ร้อยละ 5.26</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>TDF+DTG-based, DTG-based และดัชนีมวลกาย &lt;18.5 kg/m<sup>2 </sup>เป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดการบาดเจ็บที่ไต ขณะที่อัตราการฟื้นตัวกลับอย่างสมบูรณ์หลังบาดเจ็บค่อนข้างต่ำ</p> 2024-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15087 ผลลัพธ์การพัฒนาระบบป้องกันแพ้ยาซ้ำข้ามโรงพยาบาล โดยการนำโปรแกรมเชื่อมโยงข้อมูลแพ้ยารูปแบบออนไลน์ มาใช้ในโรงพยาบาลปัตตานี 2024-08-06T15:34:12+07:00 วารุณี หวังเคียงแสง waruneehos@gmail.com <p><strong>ความเป็นมา</strong>: ปัญหาแพ้ยาส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย มีระดับความรุนแรงตั้งแต่เล็กน้อยจนกระทั่งเสียชีวิต สามารถป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยแพ้ยาได้รับยาที่เคยแพ้ซ้ำ ปัญหาที่พบบ่อยคือบุคลากรการแพทย์ไม่ทราบประวัติแพ้ยาผู้ป่วยหรือผู้ป่วยแจ้งประวัติแพ้ยาที่ไม่ครบถ้วน เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดปัญหาแพ้ยาซ้ำ การนำระบบเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยแพ้ยารูปแบบออนไลน์ ที่ได้รับการพัฒนามาใช้อาจเป็นวิธีหนึ่งในการป้องกันการแพ้ยาซ้ำ<br /><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อเปรียบเทียบ จำนวนผู้ป่วยแพ้ยาซ้ำ ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลปัตตานี ก่อนและหลัง การใช้โปรแกรมเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยแพ้ยารูปแบบออนไลน์<br /><strong>วิธีการศึกษา</strong>: เป็นการศึกษาประสิทธิผลของ intervention รูปแบบ interrupted time before and after design ศึกษาข้อมูลย้อนหลัง ในโรงพยาบาลปัตตานี ก่อนและหลังการใช้โปรแกรมเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยแพ้ยารูปแบบออนไลน์ โดยเก็บข้อมูล 2 ช่วงเวลา ก่อนเริ่มใช้โปรแกรม 5 ปี ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2555 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2560 และหลังใช้โปรแกรม 5 ปี ตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2565 เก็บข้อมูลผู้ป่วยแพ้ยาซ้ำที่เข้ารับการรักษา ณ โรงพยาบาลปัตตานี ทั้งผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ mean difference ของจำนวนผู้ป่วยแพ้ยาซ้ำต่อปีเป็นเวลา 5 ปี ก่อนและหลังการใช้โปรแกรมโดยใช้สถิติ linear regression<br /><strong>ผลการศึกษา</strong>: ผู้ป่วยแพ้ยาซ้ำหลังใช้โปรแกรม มีแนวโน้มลดลงเฉลี่ย 1.85 รายต่อปี (95%CI: -3.55, -1.54) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value &lt;0.05) โดยก่อนใช้โปรแกรมแพ้ยาออนไลน์ เฉลี่ย 5.60 รายต่อปี (95%CI: 4.56, 6.64) และหลังใช้โปรแกรมเฉลี่ย 3.75 รายต่อปี (95%CI: 2.41, 5.10) และผู้ป่วยแพ้ยาซ้ำที่ได้รับยาจากโรงพยาบาลปัตตานี มีแนวโน้มเกิดแพ้ยาซ้ำลดลงเฉลี่ย 2.08 รายต่อปี (95%CI: -4.05, -0.12) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value &lt;0.05) สำหรับผู้ป่วยแพ้ยาซ้ำที่รับยาจากสถานพยาบาลอื่นยังไม่พบความแตกต่างการเกิดแพ้ยาซ้ำระหว่างก่อนและหลังการใช้โปรแกรม<br /><strong>สรุปผลการศึกษา</strong>: การใช้โปรแกรมเชื่อมโยงข้อมูลผู้ป่วยแพ้ยารูปแบบออนไลน์ สามารถลดจำนวนผู้ป่วยแพ้ยาซ้ำในผู้ป่วยที่รับยาจากโรงพยาบาลปัตตานีได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สำหรับผู้ป่วยแพ้ยาซ้ำที่รับยาจากสถานพยาบาลอื่นนอกเครือข่ายโรงพยาบาลจังหวัดปัตตานี ได้แก่ ร้านยา คลินิก ฯลฯ ยังไม่พบความแตกต่างการเกิดแพ้ยาซ้ำ ต้องใช้แนวทางปฏิบัติในการป้องกันแพ้ยาซ้ำตามมาตรฐานวิชาชีพเภสัชกรรมเป็นหลัก ได้แก่ การซักประวัติแพ้ยาและการตรวจสอบรายการยาที่แพ้ก่อนจ่ายยา</p> 2024-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15558 ผลของการคัดกรองวิเคราะห์คำสั่งใช้ยาผู้ป่วยนอกโดยเภสัชกร ณ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา 2024-07-31T10:52:03+07:00 กิตติยา เจริญกุล kittiyarx23@gmail.com <p><strong>ความเป็นมา</strong>: การคัดกรองคำสั่งใช้ยาโดยเภสัชกรหลังจากจัดเตรียมยาแล้วในขณะที่ตรวจสอบยาก่อนการจ่ายและขณะจ่ายยาให้ผู้ป่วยสามารถค้นหาปัญหาจากการใช้ยาได้ แต่มีความล่าช้าและไม่ครบถ้วน จึงได้พัฒนาระบบให้มีการคัดกรองคำสั่งใช้ยาในขั้นตอนแรกก่อนการจัดเตรียมยา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาผลลัพธ์ของการคัดกรองวิเคราะห์คำสั่งใช้ยาก่อนการจัดเตรียมยา และ เปรียบเทียบความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยาที่พบก่อนและหลังการพัฒนาระบบคัดกรองวิเคราะห์คำสั่งใช้ยา</p> <p><strong>วิธีวิจัย</strong>: เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา โดยเก็บข้อมูลความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยาผู้ป่วยนอกอายุรกรรม ในปีงบประมาณ 2566 (มีการพัฒนาการคัดกรองวิเคราะห์คำสั่งใช้ยา) และในปีงบประมาณ 2565 (ก่อนการพัฒนาการคัดกรองวิเคราะห์คำสั่งใช้ยา)</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: ในปีงบประมาณ 2566 เภสัชกรคัดกรองวิเคราะห์คำสั่งใช้ยาผู้ป่วยนอกอายุรกรรมในขั้นตอนก่อนการจัดเตรียมยารวม 20,374 ใบ พบความคลาดเคลื่อนจากคำสั่งการใช้ยา จำนวน 32.10 ครั้งต่อหนึ่งพันใบสั่งยา (654 ครั้ง) ซึ่งเพิ่มจากปีงบประมาณ 2565 ที่พบความคลาดเคลื่อนจากคำสั่งการใช้ยา จำนวน 9.92 ครั้งต่อหนึ่งพันใบสั่งยา (240 ครั้ง) โดยความคลาดเคลื่อนที่พบเพิ่มขึ้น 5 อันดับแรก ได้แก่ การสั่งยาซ้ำซ้อนกับห้องตรวจอื่น การดึงข้อมูลประวัติยาไม่เป็นปัจจุบัน การสั่งยาไม่ครบรายการ การสั่งยาผิดชนิด และการสั่งยาผิดจำนวน</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: การคัดกรองวิเคราะห์คำสั่งใช้ยาผู้ป่วยนอกอายุรกรรมในขั้นตอนก่อนการจัดเตรียมยา ทำให้เภสัชกรสามารถค้นหาความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยาได้เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้ป่วยได้รับยาที่ถูกต้อง เหมาะสม ปลอดภัย และลดระยะเวลารอคอยในกรณีที่เภสัชกรปรึกษาปัญหาด้านยากับแพทย์</p> 2024-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15882 ผลของการพัฒนาโปรแกรมคัดกรองใบสั่งยาโดยประยุกต์เกณฑ์ STOPP/START ต่อความเหมาะสมในการสั่งใช้ยาในผู้สูงอายุ แผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลพัทลุง 2024-10-31T14:17:01+07:00 ปรีชา ฤทธิ์ทอง itpharmacy@gmail.com <p class="Style1"><strong><span lang="TH">ความเป็นมา</span></strong><span lang="TH">: ประเทศไทยกำลังเข้าสู่การเป็นสังคมแห่งผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังหลายชนิดและใช้ยาร่วมกันหลายขนาน ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการได้รับยาที่ไม่เหมาะสม เกณฑ์ </span>STOPP<span lang="TH">/</span>START <span lang="TH">เป็นเกณฑ์หนึ่งที่ใช้สำหรับการคัดกรองความไม่เหมาะสมในการสั่งใช้ยาในผู้สูงอายุ เพื่อให้การคัดกรองมีประสิทธิภาพ ผู้วิจัยจึงได้พัฒนาโปรแกรมคัดกรองใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ขึ้น โดยประยุกต์จากเกณฑ์ </span>STOPP<span lang="TH">/</span>START <span lang="TH" style="color: windowtext;">เพื่อ</span><span lang="TH">ใช้เป็นเครื่องมือช่วยเภสัชกรในการคัดกรองใบสั่งยา</span></p> <p class="Style1"><strong><span lang="TH">วัตถุประสงค์</span></strong><span lang="TH">: เพื่อศึกษาผลของการพัฒนาโปรแกรมคัดกรองใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ ต่อการลดความไม่เหมาะสมในการสั่งใช้ยาในผู้ป่วยสูงอายุ (≥</span>65 <span lang="TH">ปี) ที่เข้ารับบริการในแผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลพัทลุง</span></p> <p class="Style1"><strong><span lang="TH">วิธีวิจัย</span></strong><span lang="TH">: รูปแบบการวิจัยแบบกึ่งทดลอง (</span>quasi<span lang="TH">-</span>experimental design<span lang="TH">) กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยสูงอายุที่เข้ารับการรักษาในแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลพัทลุง ที่มีโรคเรื้อรังอย่างน้อย </span>1 <span lang="TH">ชนิด และได้รับยาอย่างน้อย </span>1 <span lang="TH">รายการ จำนวน </span>12,000 <span lang="TH">ราย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม จำนวน </span>6,000 <span lang="TH">ราย เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ </span>1 <span lang="TH">ตุลาคม – </span>30 <span lang="TH">พฤศจิกายน </span>2566<span lang="TH"> และกลุ่มทดลอง จำนวน </span>6,000 <span lang="TH">ราย เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ </span>1 <span lang="TH">สิงหาคม – </span>30 <span lang="TH">กันยายน </span>2567 <span lang="TH">เก็บข้อมูลจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา และสถิติเชิงอนุมาน </span>Mann<span lang="TH">-</span>Whitney U test, chi<span lang="TH">-</span>square test<span lang="TH"> และ </span>Fisher's exact test</p> <p class="Style1"><strong><span lang="TH">ผลการศึกษา</span></strong><span lang="TH">: กลุ่มควบคุมประกอบด้วย เพศชาย ร้อยละ </span>42<span lang="TH">.</span>55<span lang="TH"> เพศหญิง ร้อยละ </span>57<span lang="TH">.</span>45 <span lang="TH">กลุ่มทดลอง เพศชายร้อยละ </span>43<span lang="TH">.</span>78<span lang="TH"> เพศหญิงร้อยละ </span>56<span lang="TH">.</span>22<span lang="TH"> อายุของทั้งสองกลุ่มส่วนมากเป็น 65 - 69 ปี มัธยฐานของจำนวนรายการยา </span>4 <span lang="TH">รายการ โรคประจำตัวที่พบบ่อย ได้แก่ ไขมันในเลือดสูง รองลงมาคือความดันโลหิตสูง เบาหวานและไตวายเรื้อรัง หลังการพัฒนาโปรแกรมคัดกรองใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า</span><span lang="TH" style="color: windowtext;">ความไม่เหมาะสมในการสั่งใช้ยาทุกประเภทลดลงจากร้อยละ </span><span style="color: windowtext;">21<span lang="TH">.</span>32 <span lang="TH">เป็นร้อยละ </span>16<span lang="TH">.</span>00<span lang="TH"> (</span><em>p</em>-value&lt;<span lang="TH">0.001) ผู้ป่วยได้รับยาที่ไม่เหมาะสม (</span>potentially inappropriate medications; PIMs<span lang="TH">) ลดลงจากร้อยละ </span>7<span lang="TH">.</span>87 <span lang="TH">เป็นร้อยละ </span>5<span lang="TH">.</span>85 <span lang="TH">(</span></span><em>p</em>-value<span style="color: windowtext;">&lt;<span lang="TH">0.001) และผู้ป่วยไม่ได้รับยาที่ควรได้รับ (</span>potential prescribing omissions; PPOs<span lang="TH">) ลดลงจากร้อยละ </span>15<span lang="TH">.</span>93 <span lang="TH">เป็นร้อยละ </span>11<span lang="TH">.</span>32 <span lang="TH">(</span></span><em>p</em>-value<span style="color: windowtext;">&lt;<span lang="TH">0.001) โดยสัดส่วนการสั่งใช้ยาที่ไม่เหมาะสมตามเกณฑ์ </span>STOPP <span lang="TH">จำนวน 6 เกณฑ์ และเกณฑ์ </span>START<span lang="TH">จำนวน 5 เกณฑ์ ในกลุ่มทดลองลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</span></span></p> <p class="Style1"><strong><span lang="TH">สรุปผล</span></strong><span lang="TH">: โปรแกรมคัดกรองใบสั่งยาอิเล็กทรอนิกส์ที่พัฒนาขึ้น สามารถลดความไม่เหมาะสมในการสั่งใช้ยาในผู้สูงอายุได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผู้สูงอายุได้รับยาที่เหมาะสมกับโรคและสภาวะของตัวเองมากขึ้น เป็นนวัตกรรมที่เพิ่มคุณภาพของการรักษาและความปลอดภัยจากการใช้ยาในผู้ป่วยสูงอายุได้เป็นอย่างดี</span></p> 2024-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15644 ผลการพัฒนารูปแบบการให้บริบาลทางเภสัชกรรมร่วมกับการติดตามการใช้ยาทางโทรศัพท์ในผู้ป่วยที่ได้รับวาร์ฟาริน 2024-10-17T15:59:40+07:00 ทิพย์กาญจน์ ศรีโพนทอง thipkarn_sri@hotmail.com สันห์ทัศน์ ศรีโพนทอง sriphonthong.s@gmail.com <p><strong><em>ความเป็นมา</em></strong>: โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติ เริ่มมีคลินิกวาร์ฟาริน พ.ศ. 2555 แต่ยังพบว่าสัดส่วนการอยู่ในช่วงเป้าหมายของค่าไอเอ็นอาร์เฉลี่ยยังต่ำกว่าระดับเป้าหมาย (น้อยกว่าร้อยละ 70) จึงมีแนวคิดในการพัฒนาระบบการดูแลผู้ป่วยให้ดีขึ้น</p> <p><strong><em>วัตถุประสงค์</em></strong>: ศึกษาผลของการควบคุมระดับไอเอ็นอาร์ให้อยู่ในช่วงเป้าหมายและคะแนนความรู้ระหว่างกลุ่มทดลองคือผู้ป่วยที่ได้รับการติดตามการใช้ยาทางโทรศัพท์ร่วมกับการบริบาลทางเภสัชกรรมเทียบกับกลุ่มควบคุมคือผู้ป่วยที่ได้รับการบริบาลทางเภสัชกรรมเพียงอย่างเดียว</p> <p><strong><em>วิธีวิจัย</em></strong>: วิจัยเชิงกึ่งทดลองแบบมีกลุ่มควบคุม โดยทั้งกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ติดตามรวม 7 เดือน ตั้งแต่ 1 มกราคม ถึง 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้สถิติพรรณนา ไคสแควร์ และ Mann-Whitney U test</p> <p><strong><em>ผลการวิจัย</em></strong>: ผู้ป่วยกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม จำนวน 33 และ 32 คน ตามลำดับ โดยมีผลการควบคุมระดับไอเอ็นอาร์ให้อยู่ในช่วงเป้าหมาย (ตามสภาวะของโรค) กลุ่มทดลองมีระดับไอเอ็นอาร์อยู่ในช่วงเป้าหมายมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value&lt;0.001) โดยมีระดับไอเอ็นอาร์อยู่ในช่วงเป้าหมาย 85.57 (ค่าเฉลี่ยลำดับ = 41.36) และร้อยละ 61.78 (ค่าเฉลี่ยลำดับ = 24.38) ตามลำดับ ส่วนคะแนนความรู้ของกลุ่มทดลองมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value&lt;0.001) โดยคะแนนเต็ม 18 คะแนน มีความรู้เฉลี่ย 17.18 คะแนน (ค่าเฉลี่ยลำดับ = 44.11)และ14.88 คะแนน(ค่าเฉลี่ยลำดับ = 21.55) ตามลำดับ</p> <p><strong><em>สรุปผล</em></strong>: การติดตามทางโทรศัพท์ร่วมกับการบริบาลทางเภสัชกรรมมีผลทำให้ผู้ป่วยมีระดับไอเอ็นอาร์ อยู่ในช่วงเป้าหมาย มากกว่ากลุ่มที่ได้รับการบริบาลทางเภสัชกรรมเพียงอย่างเดียว</p> 2024-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15676 ผลของการให้บริการเภสัชกรรมทางไกลต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ในโรงพยาบาลศรีสังวาลย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน 2024-11-26T11:26:29+07:00 ทรงศักดิ์ กุณฑลกิติเดช pharsrisangwan@gmail.com <p class="Style1"><strong><span lang="TH">ความเป็นมา</span></strong><span lang="TH">: โรคเบาหวานยังคงเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารทำให้เกิดการพัฒนาระบบการให้บริการเภสัชกรรมทางไกลขึ้น เพื่อติดตามและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยาของผู้ป่วย</span></p> <p class="Style1"><strong><span lang="TH">วัตถุประสงค์</span></strong><span lang="TH">: เพื่อศึกษาผลของการให้บริการเภสัชกรรมทางไกลต่อผลการรักษา (ค่าน้ำตาลสะสมในเลือด </span>(HbA1C)<span lang="TH">) ความรู้เกี่ยวกับการใช้ยา ความร่วมมือในการใช้ยา และปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยา</span></p> <p class="Style1"><strong><span lang="TH">วิธีการศึกษา</span></strong><span lang="TH">: การศึกษาแบบกึ่งทดลองในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ของโรงพยาบาลศรีสังวาลย์ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จำนวน 45 คน รวบรวมข้อมูลเดือนกรกฎาคม-ธันวาคม 2566 เครื่องมือเป็นแบบสอบถามประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคลและแบบทดสอบความรู้เกี่ยวกับการใช้ยา แบบประเมินความร่วมมือในการใช้ยา และแบบบันทึกประวัติผลการรักษาและปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน (</span>paired<span lang="TH">-</span>sample t<span lang="TH">-</span>test<span lang="TH">) เปรียบเทียบผลก่อนและหลังการให้บริการเภสัชกรรมทางไกล</span></p> <p class="Style1"><strong><span lang="TH">ผลการศึกษา</span></strong><span lang="TH">: หลังให้บริการเภสัชกรรมทางไกลพบว่าค่าน้ำตาลสะสมในเลือด (</span>HbA1C<span lang="TH">) เฉลี่ยลดลงจาก 9.44±1.95 เป็น 8.64±1.56 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><em>p</em>-value&lt;0<span lang="TH">.</span>001<span lang="TH">) ค่าคะแนนความรู้เกี่ยวกับการใช้ยา (20 คะแนน) เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 14.95±2.05 เป็น 18.00±1.16 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><em>p</em>-value&lt;0<span lang="TH">.</span>001<span lang="TH">) ค่าคะแนนความร่วมมือในการใช้ยา (8 คะแนน) เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจาก 6.43±1.56 เป็น 6.70±1.27 แต่ไม่แตกต่างกัน ปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยาร้อยละ 81.5 เป็นปัญหาด้านประสิทธิภาพการรักษา อีกร้อยละ 16.7 เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ส่วนสาเหตุของปัญหา ร้อยละ 37.9 คือการลืมใช้ยา หยุดหรือปรับลดขนาดยาเอง อีกร้อยละ 24.2 คือ ขาดการควบคุมด้านอาหาร และร้อยละ 12.2 คือ เวลาการบริหารยาไม่เหมาะสม</span></p> <p class="Style1"><strong><span lang="TH">สรุป</span></strong><span lang="TH">: การให้บริการเภสัชกรรมทางไกลช่วยทำให้ผู้ป่วยมีความรู้เกี่ยวกับการใช้ยาเพิ่มขึ้น ปัญหาเกี่ยวกับการใช้ยาของผู้ป่วยได้รับการติดตามและแก้ไข ส่งผลให้ค่าน้ำตาลสะสมในเลือดลดลงแต่ไม่ถึงเกณฑ์เป้าหมายที่วางไว้</span></p> 2024-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15649 ผลการพัฒนารูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยคลินิกวาร์ฟาริน โรงพยาบาลบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี 2024-11-14T10:33:43+07:00 สายฝน อินทร์ใจเอื้อ saifoninjai@gmail.com <p><strong>ความเป็นมา</strong>: วาร์ฟารินเป็นยาต้านการแข็งตัวของเลือดที่มีช่วงการรักษาแคบ (narrow therapeutic index) ระดับยาที่ให้ผลในการรักษากับระดับยาที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่เป็นอันตรายมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย เกณฑ์ที่ใช้บ่งถึงคุณภาพของระบบการดูแลผู้ป่วยที่ได้รับยาป้องกันการแข็งตัวของเลือดในผู้ป่วยที่ใช้วาร์ฟารินในระยะต่อเนื่องโดยใช้ร้อยละของระยะเวลาค่าที่ INR อยู่ในช่วงเป้าหมายการรักษา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ย %TTR จำนวนผู้ป่วยที่ควบคุม INR ได้ ภาวะเลือดออก ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน และปัญหาเกี่ยวกับยา ก่อนและหลังการพัฒนารูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรมในคลินิกวาร์ฟารินโรงพยาบาลบางปลาม้า</p> <p><strong>วิธีวิจัย</strong>: การวิจัยกึ่งทดลอง (quasi-experimental study) ผู้ป่วยนอกที่ได้รับการรักษาด้วยวาร์ฟาริน ที่คลินิกวาร์ฟาริน จำนวน 111 ราย วัดผลก่อนและหลังการพัฒนาระบบการบริบาลทางเภสัชกรรม (one group pre-post test design) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยโปสเตอร์ความรู้ด้านวาร์ฟารินสำหรับสอนผู้ป่วยแต่ละราย เอกสารคู่มือวาร์ฟารินสำหรับแจกผู้ป่วยและปฏิทินรับประทานยาประจำวัน เก็บข้อมูลช่วงเดือน มกราคม พ.ศ. 2567 – มิถุนายน พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนาได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอนุมาน McNemar test, Wilcoxon signed ranks test กำหนดระดับความเชื่อมั่นที่ร้อยละ 95</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: ภายหลังการพัฒนารูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรม ผู้ป่วยที่ได้รับวาร์ฟารินมีระยะเวลาค่าที่ INR อยู่ในช่วงเป้าหมายการรักษาจากร้อยละ 62.35 เป็นร้อยละ 69.58 เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value&lt;0.05) ภาวะเลือดออกลดลงจากร้อยละ 5.9 เป็นร้อยละ 0 ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ (<em>p</em>-value&gt;0.05) ไม่พบภาวะลิ่มเลือดอุดตันทั้งก่อนและหลังการพัฒนารูปแบบการบริบาลทางเภสัชกรรม</p> <p><strong>สรุปผล</strong>:การพัฒนาการบริบาลทางเภสัชกรรมสามารถเพิ่มค่าเฉลี่ย %TTR ในผู้ป่วยที่ได้รับวาร์ฟาริน</p> 2024-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/14791 การพัฒนาระบบกำกับติดตามการใช้ยาสมเหตุผลโดยคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด 2024-08-07T11:54:44+07:00 พัชฎาพร เสาทอง c.pchucherd@gmail.com ผการัตน์ แสงกล้า ningpakarat@gmail.com เนตรนภา ตรีนิติ plenate123@gmail.com <p><strong>ความเป็นมา:</strong> โรงพยาบาลสุรินทร์บรรลุเป้าหมายเป็นโรงพยาบาลใช้ยาสมเหตุผลระดับ 1 ในปี 2559 และระดับ 2 ในปีงบประมาณ 2560-2564 จึงต้องมีการพัฒนากลยุทธ์ต่อไปให้บรรลุเป้าหมายเป็นโรงพยาบาลใช้ยาสมเหตุผลระดับ 3</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อพัฒนาระบบกำกับติดตามการใช้ยาสมเหตุผลที่โรงพยาบาลสุรินทร์ โดยคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัดและศึกษาผลลัพธ์การดำเนินการ</p> <p><strong>วิธีวิจัย</strong>: การศึกษาเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมของคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด ระยะเวลาศึกษา 2 ปี (1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 - 30 กันยายน พ.ศ. 2565) แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ 1) วิเคราะห์สถานการณ์ 2) พัฒนากลยุทธ์ภายใต้กลไก PLEASE 3) การดำเนินการและติดตามผล 4) ประเมินผลลัพธ์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา และ เปรียบเทียบผลลัพธ์ก่อนและหลังการพัฒนาด้วย chi-squared และ t-test</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: พบปัญหาการกำหนดนโยบาย เป้าหมาย การสื่อสารนโยบายลงสู่ผู้ปฏิบัติ ขาดระบบกำกับติดตามที่ชัดเจนโดยคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัด จึงพัฒนากลยุทธ์ที่เจาะจงตามบริบทและมีระบบกำกับติดตาม พบว่าก่อนพัฒนามีตัวชี้วัดไม่ผ่าน 5 ใน 12 ตัวชี้วัด (ร้อยละ 41.7) หลังพัฒนาผ่านเกณฑ์ 12/12 คิดเป็นร้อยละ 100 โดยการใช้ยาปฏิชีวนะในโรคทางเดินหายใจส่วนบน โรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน และแผลสดอุบัติเหตุจากร้อยละ 29.9, 22.3, 41.1 ลดลงเป็นร้อยละ 8.4,14.2 และ 38.6 ตามลำดับ ส่วนการใช้ยา metformin ในผู้ป่วยเบาหวานและการใช้ inhaled corticosteroids ในผู้ป่วยโรคหืดเรื้อรังเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 78.2, 78.3 เป็น 83.9 และ 82.1 ตามลำดับ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value &lt;0.001) ส่งผลให้โรงพยาบาลสุรินทร์ เป็นโรงพยาบาลใช้ยาสมเหตุผลระดับ 3</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: การพัฒนาระบบกำกับติดตามด้วยกลยุทธ์เจาะจงตามบริบทโดยคณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัดของโรงพยาบาลสุรินทร์ ประสบความสำเร็จภายในเวลา 2 ปี ส่งผลให้ได้เป็นโรงพยาบาลใช้ยาสมเหตุผลระดับ 3</p> 2024-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16013 การพัฒนาระบบสร้างความต่อเนื่องสอดคล้องทางยาของโรงพยาบาลลำปางโดยใช้โปรแกรม E-Medical Reconciliation 2024-12-02T16:41:21+07:00 รัชพิณ ชินวณิชัย r.chinvanichai@gmail.com เหมราช สุขพันธุ์ hemmaraj@hotmail.com ชญานันทน์ นนท์เต็ม d_nontem@hotmail.com นันทวรรณ กิติกรรณากรณ์ nantawarn.k@cmu.ac.th <p><strong>บทนำ</strong> ความคลาดเคลื่อนการสั่งยาบนหอผู้ป่วยโรงพยาบาลลำปางปี พ.ศ. 2565 ที่พบสูงสุด ได้แก่ ผู้ป่วยไม่ได้รับยาที่ควรได้รับร้อยละ 28.3 และสั่งยาผิดชนิดร้อยละ 24.9 ซึ่งความคลาดเคลื่อนเหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยระบบประสานรายการยา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong> เพื่อพัฒนาและประเมินผลระบบสร้างความความต่อเนื่องสอดคล้องทางยาทางอิเล็กทรอนิกส์</p> <p><strong>วิธีวิจัย</strong> การวิจัยแบบผสม ระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2566 ถึง 31 มีนาคม พ.ศ. 2567 เก็บข้อมูลเชิงคุณภาพวิเคราะห์ปัญหาระบบเดิมและสำรวจความคาดหวังเพื่อพัฒนาระบบ E-Medical Reconciliation โดยใช้บนหอผู้ป่วยอายุรกรรม 5 แห่ง แล้วติดตามข้อมูลเชิงปริมาณ ได้แก่ ร้อยละที่ทำการประสานรายการยาภายใน 24 ชั่วโมง และเปรียบเทียบความคลาดเคลื่อนการสั่งยาก่อนและหลังใช้ระบบ</p> <p><strong>ผลการวิจัย </strong>การประสานรายการยาด้วยระบบเดิม ผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติงานแตกต่างจากแนวทางที่โรงพยาบาลกำหนดไว้ เภสัชกรเป็นหลักในขั้นตอนบันทึกข้อมูลยาแต่ปฏิบัติได้เฉพาะในเวลาราชการแพทย์จึงสั่งใช้ยาก่อนเปรียบเทียบรายการยา ส่งผลให้เกิดความคลาดเคลื่อนของการสั่งใช้ยา การพัฒนาระบบ E-Medical Reconciliation และกำหนดแนวทางปฏิบัติงานของผู้เกี่ยวข้องใหม่ พบว่าหลังนำระบบลงสู่การปฏิบัติในหอผู้ป่วยอายุรกรรม มีการประสานรายการยาร้อยละ 69.8 (เป้าหมายร้อยละ 60) จำนวนครั้งของผู้ป่วยแรกรับที่ทำการประสานรายการยาภายใน 24 ชั่วโมง ร้อยละ 75.9 (เป้าหมายร้อยละ 60) ความคลาดเคลื่อนจากการสั่งยาระดับ A-B และระดับ C-I มีแนวโน้มลดลง อย่างมีนัยสำคัญ (<em>p</em>-value&lt;0.05)</p> <p><strong>สรุปผล</strong> ระบบ E-Medical Reconciliation จากการพัฒนาแนวทางร่วมกันระหว่างวิชาชีพ ส่งผลให้ร้อยละการประสานรายการยาในผู้ป่วยแรกรับบนระบบ E-Medical Reconciliation และการประสานรายการยาภายใน 24 ชั่วโมงสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนด (ร้อยละ 60) ค่าพยากรณ์ความคลาดเคลื่อนจากการสั่งยาผู้ป่วยในทุกระดับมีแนวโน้มลดลง</p> 2024-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15227 การพัฒนาเครื่องมือส่งสัญญาณเพื่อใช้ค้นหาปัญหาการใช้ยาของผู้ป่วยใน ณ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา 2024-06-06T11:36:31+07:00 เยาวลักษณ์ สิทธิเดช yaopharma65@gmail.com <p><strong>ความเป็นมา</strong>: เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ หมายถึง ความเสียหายต่อร่างกายหรือจิตใจของผู้ป่วยที่เกิดขึ้นจากการรักษา โดยที่ไม่ได้เกิดจากการดำเนินโรค ซึ่งเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จัดเป็นหนึ่งในปัญหาจากยาที่สำคัญ โดยเภสัชกรประจำหอผู้ป่วยค้นหาปัญหาจากการใช้ยาด้วยการสังเกต และการทบทวนเวชระเบียน ซึ่งไม่ครอบคลุมผู้ป่วยทุกราย ต้องใช้เวลาและบุคลากรจำนวนมาก ผู้วิจัยจึงพัฒนาเครื่องมือส่งสัญญาณเพื่อมาช่วยค้นหาปัญหาจากการใช้ยา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อสร้างและพัฒนาเครื่องมือส่งสัญญาณที่มีประสิทธิภาพสำหรับค้นหาปัญหาจากการใช้ยาของผู้ป่วยใน และ ทราบถึงข้อมูลปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาที่ค้นหาได้จากโปรแกรมเครื่องมือส่งสัญญาณที่พัฒนาขึ้น</p> <p><strong>วิธีวิจัย</strong>: การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา เพื่อพัฒนาและศึกษาถึงผลของเครื่องมือส่งสัญญาณสำหรับใช้ค้นหาปัญหาการใช้ยาในผู้ป่วยใน โดยมีวิธีการวิจัยแบบสังเกตย้อนหลังถึงผลลัพธ์ของการใช้เครื่องมือส่งสัญญาณในผู้ป่วยที่เข้ารับบริการแผนกผู้ป่วยใน ณ โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: ผู้วิจัยพัฒนาเครื่องมือส่งสัญญาณเพื่อใช้ค้นหาปัญหาการใช้ยาในผู้ป่วยรวม 10 ตัวส่งสัญญาณ โดยพบการส่งสัญญาณ 30,688 ครั้ง และ พบปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาที่ค้นหาได้จากโปรแกรมเครื่องมือส่งสัญญาณ รวม 737 ครั้ง</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: การพัฒนาเครื่องมือส่งสัญญาณเพื่อใช้ค้นหาปัญหาการใช้ยาของผู้ป่วยใน เป็นเครื่องมือสำคัญช่วยเพิ่มการดักจับและป้องกันการเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากยา</p> 2024-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15637 การใช้เทคโนโลยีพิมพ์สามมิติพัฒนาอะริพิพราโซลในรูปแบบช็อกโกแลต 2024-10-16T13:19:48+07:00 ภูริ พุ่มไพศาลชัย superwins555@gmail.com ภูริวัฒน์ ลี้สวัสดิ์ drphuriwat@gmail.com <p><strong>ความเป็นมา: </strong>เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติถูกมองว่ามีคุณค่า มีประสิทธิภาพและประหยัดในการผลิตยาที่มีลักษณะเฉพาะ เหมาะกับผู้ป่วยที่มีความต้องการพิเศษ การนำมาใช้ขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตอะริพิพราโซลซึ่งเป็นยารักษาโรคจิตเภทจะช่วยลดปัญหาการปรับขนาดยาและความไม่ร่วมมือในการใช้ยาโดยเฉพาะในกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชเด็ก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลให้การรักษาไม่ได้ผล</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อพัฒนาตำรับอะริพิพราโซลในรูปของช็อกโกแลตแบบเคี้ยวรับประทานสำหรับขึ้นรูปด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ และวิธีวิเคราะห์หาตัวอะริพิพราโซลในช็อกโกแลต</p> <p><strong>วิธีวิจัย:</strong> พัฒนาสูตรอะริพิพราโซลในช็อกโกแลตจากส่วนผสมของผงโกโก้ เนยโกโก้ น้ำตาลผง และเลซิติน ให้ได้ช็อกโกแลตที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการ นำไปขึ้นรูปโดยใช้เครื่องพิมพ์ 3 มิติด้วยวิธีพิมพ์ทับซ้อนกันเป็นชั้น ๆ เพื่อก่อรูป ทำการพัฒนาและทดสอบความถูกต้องของวิธีวิเคราะห์อะริพิพราโซลในช็อกโกแลตด้วย UPLC ทดสอบความคงสภาพของตัวยาในช็อกโกแลตที่ผ่านการหลอมซ้ำ 5 รอบเทียบกับที่ไม่ผ่านการหลอมซ้ำ ประเมินความคงสภาพจากลักษณะทางกายภาพและทางเคมีหลังเก็บช็อกโกแลตไว้ที่อุณหภูมิ 30±2 องศาเซลเซียสและความชื้นสัมพัทธ์เท่ากับ 65±5% นาน 90 วัน เทียบกับที่เตรียมใหม่ ๆ</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> ช็อกโกแลตสามารถกลบรสขมของอะริพิพราโซลได้ ให้เนื้อสัมผัส ความแข็ง และรสชาติตามที่ต้องการ สามารถขึ้นรูปด้วยการพิมพ์ 3 มิติให้เป็นรูปแบบต่าง ๆ และยังคงสภาพลักษณะรูปร่าง ความแข็งไว้ได้ที่อุณหภูมิห้อง วิธีวิเคราะห์ที่นำมาใช้หาปริมาณอะริพิพราโซลในช็อกโกแลตมีความถูกต้อง (99.8-109.7%) และแม่นยำสูง (0.13-2.56%) เมื่อทดสอบหาตัวยาหลังการหลอมซ้ำ 5 รอบ และหลังเก็บไว้นาน 90 วัน พบว่าปริมาณตัวยามีความเสถียรโดยมีค่าอยู่ในเกณฑ์ยอมรับ 95-105% เมื่อเทียบกับที่เตรียมตอนแรก และช็อกโกแลตยังคงลักษณะทางกายภาพเหมือนเดิม</p> <p><strong>สรุปผลการวิจัย:</strong> การศึกษานี้ชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ในการนำเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติมาผลิตอะริพิพราโซลรูปของช็อกโกแลตแบบเคี้ยวรับประทานตามความจำเป็นของผู้ป่วยเฉพาะราย ช่วยลดปัญหาความไม่ร่วมมือในการใช้ยาและสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับยาชนิดอื่นได้</p> 2024-12-18T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2024 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข