https://thaidj.org/index.php/TJCP/issue/feed
เภสัชกรรมคลินิก
2025-03-03T09:43:48+07:00
วรรณพร วัฒนะวงษ์
wannapornk2013@gmail.com
Open Journal Systems
<p>สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขโดยกองบริหารการสาธารณสุขได้จัดทำวารสารเภสัชกรรมคลินิก (Clinical Pharmacy Journal) เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้าน เภสัชกรรมคลินิก เภสัชกรรมโรงพยาบาลและเภสัชสาธารณสุข ของเภสัชกรกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่าง ๆ และเป็นสื่อกลางในการนำเสนอบทความวิชาการด้านเภสัชกรรมคลินิกและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 จนถึงปี 2559 (Print ISSN 0858-8538) ในวารสารปีที่ 23 ได้ปรับปรุงรูปแบบวารสารใหม่ให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล โดยการปรับเป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ (Online ISSN 2673-0162) ฉบับปีที่ 27 ได้เปลี่ยนชื่อวารสารเป็น Thai Journal of Clinical Pharmacy (Online ISSN 2774-0625) กำหนดตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน; ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม; ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</p> <p>-----------------------------------------------------------------------------------</p> <p>ขอเชิญชวนส่งบทความ online เพื่อลงในวารสารเภสัชกรรมคลินิก <strong>โปรดอ่านรายละเอียด</strong> หรือ download คู่มือและคำแนะนำได้จาก side bar ด้านข้างขวามือของหน้าเว็บไซต์ หัวข้อ "<strong>คู่มือ และ คำแนะนำ</strong>"</p> <p><strong>ขั้นตอนดำเนินการหลังจากส่งบทความ</strong></p> <ol> <li>ระบบวารสารออนไลน์จะส่งอีเมลอัตโนมัติ แจ้งขอบคุณที่ท่านได้ส่งต้นฉบับบทความมายังวารสาร</li> <li>บรรณาธิการ จะส่งอีเมลตอบรับที่จะพิจารณาบทความของท่าน ผ่านกระทู้ของระบบวารสารออนไลน์ซึ่งอาจจะให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงบทความเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิทำการประเมินบทความ พร้อมทั้งแจ้งเลขที่บัญชีธนาคารของชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข สำหรับการโอนชำระค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์บทความ<br />ค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์บทความ ประกอบด้วย ค่าตอบแทนการประเมินบทความ ค่าจัดหน้าตีพิมพ์บทความ รวมทั้งสิ้น 3,000 บาท ต่อบทความ</li> <li>เมื่อผู้นิพนธ์ได้รับแจ้งตอบรับจากบรรณาธิการแล้ว โปรดดำเนินการปรับปรุงบทความเบื้องต้น (ถ้ามี) ชำระค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์บทความ และส่งสลิปการโอนเงิน ผ่านทางกระทู้ของระบบวารสารออนไลน์</li> <li>บรรณาธิการส่งบทความของท่านให้ผู้ทรงคุณวุฒิดำเนินการประเมินบทความโดยปกปิดชื่อผู้นิพนธ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</li> <li>บรรณาธิการแจ้งผลประเมินบทความให้ท่านได้รับทราบ และดำเนินการแก้ไข และผู้นิพนธ์ส่งบทความที่แก้ไขแล้วให้บรรณาธิการวารสาร โดยระบบวารสารออนไลน์</li> <li>บรรณาธิการวารสารส่งบทความที่แก้ไขให้กับผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาอีกครั้ง หรือส่งจัดหน้าตีพิมพ์ (ตามความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ)</li> </ol>
https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15735
ผลของการใช้แนวทางการป้องกันและติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา asparaginase ในผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน
2024-11-27T10:07:52+07:00
เพ็ญนภา ม่วงศรี
undaman110@gmail.com
<p><strong>ที่มาของปัญหา: </strong>Asparaginase เป็นยาใช้รักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน (acute lymphoblastic leukemia; ALL) ร่วมกับยาเคมีบำบัดอื่นในสูตร Thai Pediatric Oncology Group (Thai POG) protocol ทำให้เพิ่ม event-free survival และ overall survival แต่ยาทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้มาก ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอันตรายถึงชีวิตหรือหมดโอกาสใช้ยา หากไม่มีแนวทางการป้องกันและติดตามอาการอย่างเป็นระบบ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>ศึกษาผลของแนวทางการป้องกันและติดตามอาการไม่พึงประสงค์ และศึกษาลักษณะของอาการไม่พึงประสงค์ในผู้ป่วยเด็ก ALL ที่ได้ยา asparaginase</p> <p><strong>วิธีวิจัย:</strong> เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา ในผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวเฉียบพลัน ที่ได้รับ asparaginase ในสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี ก่อนและภายหลังจากมีการใช้แนวทางฯ ช่วง 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560 -30 กันยายน พ.ศ. 2563 และ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2563 – 30 กันยายน พ.ศ. 2566 จำนวน 64 และ 61 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและไคสแควร์</p> <p><strong>ผลการวิจัย: </strong>จากการใช้แนวทางฯ พบว่าเภสัชกรค้นหาอาการไม่พึงประสงค์และปรึกษาแพทย์ได้เพิ่มขึ้น จาก 82 ครั้ง (ร้อยละ 51.57) เป็น 105 ครั้ง (ร้อยละ 67.31) มีการให้ยาป้องกันการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ก่อนการให้ asparaginase ในรายที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจาก 204 ครั้ง (ร้อยละ 32.54) เป็น 305 ครั้ง (ร้อยละ 45.59) ผู้ป่วยได้รับการจัดการเพื่อให้ได้รับยาครบตามแผนการรักษาเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 74.39 เป็นร้อยละ 87.62 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value <0.05)</p> <p><strong>บทสรุป:</strong> อาการไม่พึงประสงค์จาก asparaginase มีความหลากหลาย และมีโอกาสเกิดซ้ำได้ แนวทางการป้องกันและติดตามอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ช่วยป้องกันการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ร้ายแรงได้ ทำให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยจากการใช้ยามากขึ้นและเพิ่มอัตราการให้ยาได้ครบตามแผนการรักษา</p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข
https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15873
การประเมินความเหมาะสมของการสั่งใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรง ณ โรงพยาบาลสงขลา
2025-01-22T23:57:49+07:00
ลักขณา คล้ายแก้ว
k.lukkana@gmail.com
ภวินท์ ฐานิสโร
phawin2012@gmail.com
ณัฐพล ลี้สกุลพิศุทธิ์
nattapolboom123@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา: </strong>จากการทบทวนการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรง ระหว่างปี พ.ศ. 2564-2565 ในโรงพยาบาลสงขลา พบอาการไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลลัพธ์ต่อผู้ป่วยในระดับ I (เสียชีวิต) จำนวน 2 ราย ทำให้ต้องใช้ยาต้านพิษที่มีราคาแพง ส่งผลกระทบต่อชีวิตและค่าใช้จ่ายด้านยา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อประเมินความเหมาะสมของการสั่งใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรง และการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา</p> <p><strong>วิธีการวิจัย:</strong> เป็นงานวิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง โดยเก็บข้อมูลย้อนหลังจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และเวชระเบียนผู้ป่วย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> พบว่ามีการสั่งใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรงที่เหมาะสม 208 ครั้ง (ร้อยละ 90.04) ไม่เหมาะสม 23 ครั้ง (ร้อยละ 9.96) เป็นการสั่งใช้ยาในขนาดที่ต่ำเกินไป 10 ครั้ง (ร้อยละ 4.33) สั่งใช้ยาในขนาดสูงเกินไป 13 ครั้ง (ร้อยละ 5.63) พบอาการไม่พึงประสงค์จากการสั่งใช้ยาที่เหมาะสม 7 ครั้ง (ร้อยละ 3.03) โดยมีภาวะเลือดออก 6 ครั้ง (ร้อยละ 2.60) และเท้าบวม 1 ครั้ง (ร้อยละ 0.43) และพบภาวะเลือดออกจากการสั่งใช้ยาที่ไม่เหมาะสม 1 ครั้ง (ร้อยละ 0.43) การสั่งใช้ยาในขนาดที่ไม่เหมาะสมเกิดอาการไม่พึงประสงค์มากกว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาในขนาดเหมาะสม 1.29 เท่า (OR = 1.29, 95%CI: 0.15 – 10.97)</p> <p><strong>สรุปผล:</strong> จากการศึกษาพบว่ามีการสั่งใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรงที่ไม่เหมาะสม ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยามากกว่าการสั่งใช้ยาที่เหมาะสมประมาณร้อยละ 29 แม้ว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ เนื่องจากยังมีการรายงานน้อย กลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็ก และเป็นยาใหม่ที่เริ่มใช้ในโรงพยาบาลไม่นาน แต่ก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้แพทย์ตระหนักในเรื่องการสั่งใช้ยามากขึ้น</p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข
https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15657
การติดตามผลการรักษาและอาการไม่พึงประสงค์ในผู้ป่วยที่ไปรับวาร์ฟารินภายหลังการจัดตั้งคลินิกยาต้านการแข็งตัวของเลือดในโรงพยาบาลชุมชน จังหวัดสระบุรี
2024-09-16T10:59:16+07:00
เสาวลักษณ์ ยังดำรง
moo29111973@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong>: เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดปัญหาการใช้ยาในผู้ป่วยที่ใช้วาร์ฟาริน โรงพยาบาลสระบุรีจึงได้จัดตั้งคลินิกยาต้านการแข็งตัวของเลือดร่วมกับโรงพยาบาลชุมชนขึ้นในปีงบประมาณ 2559</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อประเมินผลการดำเนินการจัดตั้งคลินิกยาต้านการแข็งตัวของเลือดในโรงพยาบาลชุมชน</p> <p><strong>วิธีวิจัย: </strong>การศึกษาย้อนหลังแบบกลุ่มเดียววัดผลก่อนและหลังการดำเนินการ โดยใช้โปรแกรม Warfarin Registry Network เก็บข้อมูลตั้งแต่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2565 เปรียบเทียบค่า time in therapeutic range (TTR) ก่อนและหลังการส่งต่อ ความถี่ของการตรวจค่า international normalized ratio (INR) และการเกิดเลือดออกผิดปกติจากวาร์ฟาริน</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> ผู้ป่วยจำนวน 95 ราย เป็นชาย 44 ราย (ร้อยละ 46.3) หญิง 51 ราย (ร้อยละ 53.7) อายุเฉลี่ย 67.2 ปี ข้อบ่งใช้ non valvular atrial fibrillation (AF) 68 ราย (ร้อยละ 71.6) valvular AF 11 ราย (ร้อยละ 11.6) post valvular surgery 8 ราย (ร้อยละ 8.4) deep vein thrombosis 6 ราย (ร้อยละ 6.3) ischemic stroke 2 ราย (ร้อยละ 2.1) ค่าเฉลี่ย TTR ก่อนการส่งต่อ ร้อยละ 45.07 หลังการส่งต่อ ร้อยละ 51.96 (<em>p</em>-value <0.002) การตรวจค่า INR เฉลี่ยปีงบประมาณ 2560-2565 โรงพยาบาลชุมชน 0.44 ครั้งต่อเดือน โรงพยาบาลสระบุรี 0.33 ครั้งต่อเดือน โรงพยาบาลพระพุทธบาท 0.39 ครั้งต่อเดือน ภาวะเลือดออกผิดปกติที่เกิดจากวาร์ฟาริน ปีงบประมาณ 2559 เกิดร้อยละ 5.63 หลังการจัดตั้งคลินิกปีงบประมาณ 2565 พบร้อยละ 0.93 (<em>p</em>-value<0.001)</p> <p><strong>สรุป:</strong> การจัดตั้งคลินิกยาต้านการแข็งตัวของเลือดในโรงพยาบาลชุมชน พบว่าค่าเฉลี่ย TTR ของทุกแห่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ความถี่ในการการตรวจค่า INR ในโรงพยาบาลชุมชนทุกแห่งเฉลี่ยน้อยกว่า 1 ครั้งต่อเดือน แต่สูงกว่าโรงพยาบาลสระบุรี และการเกิดภาวะเลือดออกผิดปกติจากวาร์ฟารินลดลงอย่างมีนัยสำคัญ</p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข
https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16146
รูปแบบและความสอดคล้องการใช้ยาปฏิชีวนะก่อนทราบเชื้อก่อโรคในผู้ป่วยปอดอักเสบติดเชื้อตามแนวทางการใช้ยา โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช
2025-01-15T15:00:50+07:00
ปัทมา ตัณฑวิวัฒน์
pattama.tan@gmail.com
พีระพัชร ไทยสยาม
Peerapat.th@cpird.in.th
ภานุพัฒน์ พุ่มพฤกษ์
poompruek_p@su.ac.th
<p class="Style1" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong><span lang="TH">ความเป็นมา</span></strong><span lang="TH">: โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราชประกาศใช้แนวทางการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะในโรคติดเชื้อที่พบบ่อยในการรักษาแบบคาดการณ์ (</span>empiric antibiotic in common infection<span lang="TH">)</span></p> <p class="Style1" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong><span lang="TH">วัตถุประสงค์</span></strong><span lang="TH">: เพื่อศึกษารูปแบบและความสอดคล้องการสั่งใช้ยากับแนวทางการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะแบบคาดการณ์ก่อนทราบเชื้อก่อโรคในผู้ป่วยปอดอักเสบติดเชื้อ</span></p> <p class="Style1" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong><span lang="TH">วิธีวิจัย</span></strong><span lang="TH">: ศึกษาข้อมูลย้อนหลังของผู้ป่วยอายุรกรรมปอดอักเสบติดเชื้อ </span>1,120 <span lang="TH">ราย จากฐานข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ ตั้งแต่ </span>1<span lang="TH"> กรกฎาคม พ.ศ. </span>2565 <span lang="TH">ถึง </span>30 <span lang="TH">มิถุนายน พ.ศ. </span>2566<span lang="TH"> แบ่งประเภทผู้ป่วยเป็นปอดอักเสบติดเชื้อจากชุมชนและปอดอักเสบติดเชื้อในโรงพยาบาล วิเคราะห์ผลการศึกษาความถี่ด้วยสถิติพรรณนา และทดสอบความสอดคล้องของการสั่งใช้ยาตามแนวทางฯ กับผลลัพธ์การใช้ยา (อาการทุเลา เสียชีวิต หรืออื่น ๆ) ด้วยสถิติ </span>Pearson chi square</p> <p class="Style1" style="text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><strong><span lang="TH">ผลการวิจัย</span></strong><span lang="TH">: พบผู้ป่วยปอดอักเสบติดเชื้อส่วนใหญ่ อายุมากกว่า </span>60 <span lang="TH">ปี ร้อยละ </span>70<span lang="TH">.</span>09 <span lang="TH">ผู้ป่วยมีโรคร่วม </span>1 <span lang="TH">โรค ร้อยละ </span>39<span lang="TH">.</span>46<span lang="TH"> โรคร่วมที่พบมากที่สุดคือความดันโลหิตสูง ร้อยละ </span>49<span lang="TH">.</span>02 <span lang="TH">ผู้ป่วยปอดอักเสบติดเชื้อจากชุมชน มีการสั่งใช้ </span>ceftriaxone <span lang="TH">และ </span>ceftriaxone <span lang="TH">+ </span>azithromycin <span lang="TH">ร้อยละ </span>34<span lang="TH">.</span>88 <span lang="TH">และ </span>25<span lang="TH">.</span>31 <span lang="TH">ตามลำดับ สถานะจำหน่ายทุเลาร้อยละ </span>46<span lang="TH">.</span>50<span lang="TH"> เสียชีวิตร้อยละ </span>39<span lang="TH">.</span>40<span lang="TH"> ผู้ป่วยอายุรกรรมปอดอักเสบติดเชื้อในโรงพยาบาล พบการสั่งใช้ </span>piperacillin<span lang="TH">/</span>tazobactam <span lang="TH">มากที่สุดร้อยละ </span>55<span lang="TH">.</span>41 <span lang="TH">สถานะจำหน่ายเสียชีวิตร้อยละ </span>52<span lang="TH">.</span>03<span lang="TH"> ทุเลาร้อยละ</span> 29<span lang="TH">.</span>73<span lang="TH"> ส่วนเชื้อที่พบในเสมหะมีความแตกต่างจากแนวทางฯ ที่กำหนด ความสอดคล้องการสั่งใช้ยาปฏิชีวนะแบบคาดการณ์เปรียบเทียบกับแนวทางฯ พบผู้ป่วยปอดอักเสบติดเชื้อจากชุมชนและในโรงพยาบาล มีการสั่งใช้ยาสอดคล้องแนวทางฯ ร้อยละ </span>61<span lang="TH">.</span>11 <span lang="TH">และ </span>56<span lang="TH">.</span>75 <span lang="TH">ตามลำดับ แต่การสั่งใช้ยาตามแนวทางฯ ไม่มีความสอดคล้องกับผลลัพธ์ในการรักษาทั้งผู้ป่วยปอดอักเสบติดเชื้อจากชุมชน (</span><em>p</em>-value<span lang="TH"> = 0.128) และผู้ป่วยปอดอักเสบติดเชื้อในโรงพยาบาล (</span><em>p</em>-value <span lang="TH">= </span>0<span lang="TH">.</span>067<span lang="TH">)</span></p> <p class="Style3"><strong><span lang="TH">สรุปผล</span></strong><span lang="TH">: แนวทางการเลือกใช้ยาปฏิชีวนะควรมีการปรับปรุงให้สอดคล้องกับระบาดวิทยาของเชื้อที่พบ</span></p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข
https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/15846
การวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการใช้ยาในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ย้อนหลัง 5 ปี
2024-12-23T09:40:01+07:00
จักษ์ เชาวน์วิวัฒน์
jakkychao@hotmail.com
กิตติพร ธเนศเศรษฐ์
capsuleya@yahoo.com
อุบลวรรณ สะพู
uyingg@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong>: ความคลาดเคลื่อนทางยาและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา เป็นตัวชี้วัดระบบความปลอดภัยด้านยา ปี พ.ศ. 2561 มีการพัฒนาระบบรายงานโดยกำหนดรหัสความเสี่ยงเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ (National Reporting and Learning System: NRLS) การวิเคราะห์ความคลาดเคลื่อนทางยาและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาทำให้ทราบปริมาณปัญหาและความรุนแรง เพื่อนำมาพัฒนาระบบยา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณของเหตุการณ์ความคลาดเคลื่อนทางยา และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา เพื่อเปรียบเทียบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่ควรป้องกันได้ตามเกณฑ์ Schumock and Thronton criteria และเหตุการณ์ที่ระบบป้องกันได้</p> <p><strong>วิธีวิจัย</strong>: การวิจัยเชิงพรรณนา โดยศึกษาข้อมูลความคลาดเคลื่อนทางยาและเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา จากโปรแกรมรายงานความเสี่ยงของโรงพยาบาล ช่วง ตุลาคม พ.ศ. 2561-กันยายน พ.ศ. 2566 โดยใช้สถิติ ร้อยละ</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: พบรายงานความเสี่ยง 58,688 เหตุการณ์ จำแนกเป็นความคลาดเคลื่อนทางยา 57,828 เหตุการณ์ (ร้อยละ 98.53) และเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา 860 เหตุการณ์ (ร้อยละ 1.47) โดยความคลาดเคลื่อนทางยาส่วนใหญ่พบในขั้นตอน ก่อนจ่ายยาและความรุนแรงระดับ B 55,008 เหตุการณ์ (ร้อยละ 93.73) ระดับ C-D 3,587 เหตุการณ์ (ร้อยละ 6.11) ระดับ E-H 93 เหตุการณ์ (ร้อยละ 0.16) ไม่พบเหตุการณ์ที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต (ระดับ I) ส่วนเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากยาพบว่าเป็นเหตุการณ์ที่ควรป้องกันได้ และพบ 5 ราย ที่ระบบไม่สามารถดักจับได้และเกิดผลกระทบรุนแรง คือ การป้องกันแพ้ยาซ้ำข้ามโรงพยาบาล</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: ความคลาดเคลื่อนทางยาส่วนใหญ่ระบบสามารถป้องกันได้ แต่ยังพบเหตุการณ์แพ้ยาซ้ำข้ามโรงพยาบาลซึ่งควรมีการพัฒนาระบบต่อไป</p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข
https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16068
การเปรียบเทียบวิธีพยากรณ์แบบอนุกรมเวลาที่เหมาะสมสำหรับพยากรณ์ความต้องการใช้ยาที่มีมูลค่าการจัดซื้อสูงสุด: กรณีศึกษาสถาบันโรคทรวงอก
2025-01-28T09:55:13+07:00
เสาวคนธ์ หนูขาว
saowakhon_no@rmutto.ac.th
สามารถ จำรัส
jamrat_s@su.ac.th
พิเชฐ มาเร็ว
pichet_ma@rmutto.ac.th
ชัยธวัช สวัสดิ์พาณิชย์
chaitawat.sawatphanit@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong>: ปัจจุบันโรงพยาบาลได้รับการจัดสรรงบประมาณด้านการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์อย่างจำกัด การพยากรณ์ความต้องการ จึงเป็นเทคนิคที่นำมาใช้คาดการณ์ความต้องการใช้ยาในอนาคต โดยข้อมูลที่ได้จากการพยากรณ์สามารถนำไปประกอบการตัดสินใจจัดซื้อและบริหารคลังยาและเวชภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อเปรียบเทียบวิธีการพยากรณ์แบบอนุกรมเวลาที่เหมาะสมสำหรับการพยากรณ์ความต้องการใช้ยามูลค่าสูงสุด และพยากรณ์ความต้องการใช้ยามูลค่าสูงของสถาบันโรคทรวงอกในปีถัดไป</p> <p><strong>วิธีวิจัย</strong>: เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบ retrospective โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากสถาบันโรคทรวงอก เพื่อคัดเลือกยาจำเป็นที่มีมูลค่าสูงสุดด้วยการวิเคราะห์ ABC-VEN นำยาที่วิเคราะห์ได้มาศึกษาลักษณะการเคลื่อนไหวของอนุกรมเวลาเพื่อเลือกวิธีพยากรณ์อนุกรมเวลา จากนั้นเปรียบเทียบวิธีพยากรณ์อนุกรมเวลาแต่ละวิธีโดยพิจารณาจากค่า mean absolute percent error (MAPE)</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong>: จากการคัดเลือกพบว่า Jardiance<sup>®</sup> 10 mg เป็นยาที่มีมูลค่าการจัดซื้อสูงสุดในปีงบประมาณที่ผ่านมา การเปรียบเทียบวิธีพยากรณ์อนุกรมเวลา 4 วิธี ได้แก่ วิธีถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ วิธีถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนัก วิธีปรับเรียบเอ็กซ์โพเนนเชียลครั้งเดียว และวิธีถดถอยเชิงเส้นอย่างง่าย พบว่าวิธีถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (การเคลื่อนที่ = 6) ให้ค่า MAPE ต่ำสุด (19.38) และเหมาะสมที่สุดสำหรับพยากรณ์ความต้องการยา โดยคาดการณ์ว่าความต้องการใช้ยานี้ในปีถัดไปอยู่ที่ 14,435 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 19.46 ล้านบาท</p> <p><strong>สรุปผล</strong>: วิธีพยากรณ์อนุกรมเวลาแบบถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (การเคลื่อนที่ = 6) เป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการพยากรณ์ความต้องการยาที่มีมูลค่าสูง เช่น Jardiance<sup>®</sup> 10 mg สามารถประยุกต์ใช้ในการวางแผนการจัดซื้อได้อย่างสมเหตุผล</p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข
https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16237
ผลของขนาดอนุภาคกัญชงต่อการสกัดแคนนาบิไดออล (CBD) โดยใช้เทคนิคการสกัดด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ที่วิกฤตยิ่งยวด
2025-02-13T09:21:17+07:00
โสภิต บุษยะจารุ
sopit_ahe@hotmail.com
ธนพงศ์ เพ็งผล
benzpengpon@gmail.com
<p><strong>ความเป็นมา</strong><strong>:</strong> โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรได้รับมอบหมายให้ดำเนินนโยบายกัญชาทางการแพทย์อย่างครบวงจร ตั้งแต่การปลูก ผลิต และนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2562 ปัจจุบันได้รับมอบหมายให้ผลิตยาที่มีกัญชาและกัญชงเป็นส่วนผสมจำนวน 6 รายการเพื่อใช้ในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะครีมแคนนาบิไดออล (CBD) สำหรับผู้ป่วยสะเก็ดเงินและผิวหนังอักเสบ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาผลของขนาดอนุภาคดอกกัญชงต่อน้ำหนักของสารสกัด (yield) และปริมาณสารสำคัญ CBD และกรดแคนนาบิไดออลิก (CBDA) ด้วยเทคนิคการสกัดด้วยคาร์บอนไดออกไซด์ในสภาวะวิกฤตยิ่งยวด</p> <p><strong>วิธีวิจัย</strong><strong>:</strong> ช่อดอกกัญชงบดแยกเป็น 3 ขนาดอนุภาค ได้แก่ ขนาดใหญ่ (0.84-1.00 มิลลิเมตร) ขนาดกลาง (0.25-0.84 มิลลิเมตร) และขนาดละเอียด (<0.25 มิลลิเมตร) ทำการสกัดที่ความดัน 32 เมกะปาสคาล อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส อัตราการไหลของคาร์บอนไดออกไซด์ 2.5-3 ลิตร/นาที เป็นเวลา 120 นาที จากนั้นนำสารสกัดที่ได้ผ่านกระบวนการ decarboxylation ที่อุณหภูมิ 120 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 120 นาที นำไปวิเคราะห์น้ำหนักของสารสกัด (yield) และปริมาณสารสำคัญ CBD และ CBDA</p> <p><strong>ผลการวิจัย</strong><strong>:</strong> อนุภาคขนาดละเอียดให้ร้อยละของสารสกัดสูงสุดเฉลี่ย 15.74 รองลงมาคือขนาดกลางร้อยละ 12.94 และขนาดใหญ่ร้อยละ 11.71 ตามลำดับ สอดคล้องกับผลการวิเคราะห์ปริมาณ total CBD ที่พบว่าขนาดละเอียดให้ค่าเฉลี่ยร้อยละของ total CBD สูงสุด 7.46 ซึ่งแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยร้อยละของ total CBD ของขนาดกลาง 6.05 และขนาดใหญ่ 5.70 ทั้งนี้ร้อยละของ total CBD ที่ได้จากขนาดกลางและขนาดใหญ่ให้ผลไม่แตกต่างกันทางสถิติ</p> <p><strong>สรุปผล</strong><strong>:</strong> อนุภาคกัญชงขนาดเล็กให้ปริมาณสารสกัดและ total CBD มากกว่าขนาดใหญ่ ซึ่งจะเป็นแนวทางในการกำหนดขนาดของกัญชงให้น้อยกว่า 0.25 มิลิเมตร ในกระบวนการเตรียมวัตถุดิบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการสกัดสาร CBD ให้ได้สารสำคัญในการผลิตยามากขึ้น</p>
2025-03-03T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข