เภสัชกรรมคลินิก https://thaidj.org/index.php/TJCP <p>สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขโดยกองบริหารการสาธารณสุขได้จัดทำวารสารเภสัชกรรมคลินิก (Clinical Pharmacy Journal) เพื่อเผยแพร่ผลงานวิชาการด้าน เภสัชกรรมคลินิก เภสัชกรรมโรงพยาบาลและเภสัชสาธารณสุข ของเภสัชกรกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานต่าง ๆ และเป็นสื่อกลางในการนำเสนอบทความวิชาการด้านเภสัชกรรมคลินิกและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีการจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536 จนถึงปี 2559 (Print ISSN 0858-8538) ในวารสารปีที่ 23 ได้ปรับปรุงรูปแบบวารสารใหม่ให้สอดคล้องกับยุคดิจิทัล โดยการปรับเป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ (Online ISSN 2673-0162) ฉบับปีที่ 27 ได้เปลี่ยนชื่อวารสารเป็น Thai Journal of Clinical Pharmacy (Online ISSN 2774-0625) กำหนดตีพิมพ์ 3 ฉบับต่อปี ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน; ฉบับที่ 2 พฤษภาคม – สิงหาคม; ฉบับที่ 3 กันยายน – ธันวาคม</p> <p>-----------------------------------------------------------------------------------</p> <p>ขอเชิญชวนส่งบทความ online เพื่อลงในวารสารเภสัชกรรมคลินิก <strong>โปรดอ่านรายละเอียด</strong> หรือ download คู่มือและคำแนะนำได้จาก side bar ด้านข้างขวามือของหน้าเว็บไซต์ หัวข้อ "<strong>คู่มือ และ คำแนะนำ</strong>"</p> <p><strong>ขั้นตอนดำเนินการหลังจากส่งบทความ</strong></p> <ol> <li>ระบบวารสารออนไลน์จะส่งอีเมลอัตโนมัติ แจ้งขอบคุณที่ท่านได้ส่งต้นฉบับบทความมายังวารสาร</li> <li>บรรณาธิการ จะส่งอีเมลตอบรับที่จะพิจารณาบทความของท่าน ผ่านกระทู้ของระบบวารสารออนไลน์ซึ่งอาจจะให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงบทความเบื้องต้น ก่อนที่จะส่งให้ผู้ทรงคุณวุฒิทำการประเมินบทความ พร้อมทั้งแจ้งเลขที่บัญชีธนาคารของชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข สำหรับการโอนชำระค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์บทความ<br />ค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์บทความ ประกอบด้วย ค่าตอบแทนการประเมินบทความ ค่าจัดหน้าตีพิมพ์บทความ รวมทั้งสิ้น 3,000 บาท ต่อบทความ</li> <li>เมื่อผู้นิพนธ์ได้รับแจ้งตอบรับจากบรรณาธิการแล้ว โปรดดำเนินการปรับปรุงบทความเบื้องต้น (ถ้ามี) ชำระค่าใช้จ่ายในการตีพิมพ์บทความ และส่งสลิปการโอนเงิน ผ่านทางกระทู้ของระบบวารสารออนไลน์</li> <li>บรรณาธิการส่งบทความของท่านให้ผู้ทรงคุณวุฒิดำเนินการประเมินบทความโดยปกปิดชื่อผู้นิพนธ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง</li> <li>บรรณาธิการแจ้งผลประเมินบทความให้ท่านได้รับทราบ และดำเนินการแก้ไข และผู้นิพนธ์ส่งบทความที่แก้ไขแล้วให้บรรณาธิการวารสาร โดยระบบวารสารออนไลน์</li> <li>บรรณาธิการวารสารส่งบทความที่แก้ไขให้กับผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาอีกครั้ง หรือส่งจัดหน้าตีพิมพ์ (ตามความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิ)</li> </ol> th-TH <p> ข้อความภายในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารเภสัชกรรมคลินิกทั้งหมด รวมถึงรูปภาพประกอบ ตาราง เป็นลิขสิทธิ์ของกองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข การนำเนื้อหา ข้อความหรือข้อคิดเห็น รูปภาพ ตาราง ของบทความไปจัดพิมพ์เผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ต้องได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการวารสารเภสัชกรรมคลินิกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร<br /> กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข อนุญาตให้สามารถนำไฟล์บทความไปใช้ประโยชน์และเผยแพร่ต่อได้ โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอน (Creative Commons License: CC) โดย ต้องแสดงที่มาจากวารสาร – ไม่ใช้เพื่อการค้า – ห้ามแก้ไขดัดแปลง, Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)<br /> ข้อความที่ปรากฏในบทความในวารสารเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับกองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข และบุคลากรในกองฯ หรือ ชมรมฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเอง ตลอดจนความรับผิดชอบด้านเนื้อหาและการตรวจร่างบทความเป็นของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการ</p> wannapornk2013@gmail.com (วรรณพร วัฒนะวงษ์) wtsomchai@gmail.com (Somchai Wongthangprasert) Tue, 15 Jul 2025 19:26:50 +0700 OJS 3.2.1.1 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 อุบัติการณ์และปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางไตในผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับการรักษาด้วยยาต้านแบบรวมเม็ดทีโนโฟเวียร์ไดโซพรอกซิลฟูมาเรท+ลามิวูดีน+โดลูทีกราเวียร์ โรงพยาบาลตรัง https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16226 <p><strong><em>ความเป็นมา:</em></strong> ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านแบบรวมเม็ดทีโนโฟเวียร์ไดโซพรอกซิลฟูมาเรท+ลามิวูดีน+โดลูทีกราเวียร์ (TLD) มีแนวโน้มเกิดภาวะแทรกซ้อนทางไตเพิ่มขึ้นหลังรับยา โดยยังไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าเกิดอุบัติการณ์จำนวนเท่าไรและเป็นผลมาจากปัจจัยใดบ้าง</p> <p><strong><em>วัตถุประสงค์:</em></strong> ศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางไต ในผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านแบบรวมเม็ด TLD</p> <p><strong><em>วิธีวิจัย:</em> </strong>การศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลัง ในผู้ป่วยที่ได้รับยาต้านแบบรวมเม็ด TLD โรงพยาบาลตรัง เก็บข้อมูลจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 ถึง มีนาคม พ.ศ. 2567 ภาวะแทรกซ้อนทางไต พิจารณาจากค่า estimated glomerular filtration rate (eGFR) ที่ลดลงมากกว่าร้อยละ 25 จากค่าเริ่มต้นก่อนได้รับยา TLD วิเคราะห์ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางไตด้วยสถิติถดถอยโลจิสติกส์</p> <p><strong><em>ผลการวิจัย:</em> </strong>ผู้ป่วย 1,402 ราย อายุเฉลี่ย 45.57 ± 10.44 ปี พบอุบัติการณ์เกิดภาวะแทรกซ้อนทางไต จำนวน 398 ราย (ร้อยละ 28.4) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางไต ได้แก่ อายุ การมีโรคร่วม และยาต้านไวรัสที่ใช้มาก่อน เมื่อวิเคราะห์อิทธิพลร่วมของปัจจัยอายุ โรคร่วมและสูตรยาต้านที่เคยใช้มาก่อน พบว่าผู้ป่วยอายุ 61-70 ปี มีโรคความดันโลหิตสูงและใช้ยา GPO-VIR T<sup>®</sup> มาก่อน มีความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางไตสูงกว่าผู้ป่วยอื่น 11.16 เท่า (95%CI: 2.36-52.85, <em>p</em>-value=0.002) รองลงมาคือผู้ป่วยอายุ 41-50 ปี มีโรคเบาหวานและใช้ยา GPO-VIR T<sup>®</sup> มาก่อน มีความเสี่ยงการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางไตสูงกว่าผู้ป่วยอื่น 9.77 เท่า (95%CI: 2.02-47.28, <em>p</em>-value=0.005)</p> <p><strong><em>สรุปผล:</em> </strong>ควรติดตามค่าการทำงานของไตอย่างใกล้ชิด ในผู้ป่วยอายุ 61-70 ปี ที่มีโรคความดันโลหิตสูงและใช้ยา GPO-VIR T<sup>®</sup> มาก่อน และผู้ป่วยอายุ 41-50 ปี ที่มีโรคเบาหวานและใช้ยา GPO-VIR T<sup>®</sup> มาก่อน เนื่องจากเป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนทางไต</p> วรรณทิพย์ ตั้งสถิตพร ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16226 Tue, 15 Jul 2025 00:00:00 +0700 อุบัติการณ์และต้นทุนการดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาในโรงพยาบาลสงขลา https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16048 <p class="Style1"><strong><span lang="TH">ความเป็นมา:</span></strong><span lang="TH"> อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา (</span>Adverse Drug Reactions; ADRs<span lang="TH">) ทำให้ค่าเฉลี่ยของการนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและภาระการดูแลผู้ป่วยที่พบ </span>ADRs<span lang="TH"> เพิ่มขึ้น แต่การศึกษาเกี่ยวกับต้นทุนการดูแลผู้ป่วยที่เกิด </span>ADRs <span lang="TH">โดยเฉพาะในผู้ป่วยศัลยกรรมยังมีจำกัด</span></p> <p class="Style1"><strong><span lang="TH">วัตถุประสงค์: </span></strong><span lang="TH">เพื่อศึกษาอุบัติการณ์ </span>ADRs <span lang="TH">ในผู้ป่วยศัลยกรรม และเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของต้นทุนการดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมที่เกิดและไม่เกิด </span>ADRs</p> <p class="Style1"><strong><span lang="TH">วิธีวิจัย: </span></strong><span lang="TH">เป็นการศึกษาเชิงวิเคราะห์แบบย้อนหลังจากเวชระเบียนอิเล็กทรอนิกส์ รวมระยะเวลา </span>36 <span lang="TH">เดือน ศึกษาเฉพาะต้นทุนทางตรงด้านการแพทย์ในมุมมองของผู้ให้บริการ โดยแบ่งผู้ป่วยศัลยกรรมออกเป็น </span>2 <span lang="TH">กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่เกิดและไม่เกิด </span>ADRs <span lang="TH">ใช้สถิติ </span>Independent t<span lang="TH">-</span>test <span lang="TH">เพื่อวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างกลุ่ม</span></p> <p class="Style1"><strong><span lang="TH">ผลการวิจัย:</span></strong><span lang="TH"> อุบัติการณ์ของ </span>ADRs <span lang="TH">ในผู้ป่วยศัลยกรรมอยู่ที่ร้อยละ </span>1<span lang="TH">.</span>25 <span lang="TH">ของผู้ป่วยทั้งหมด โดยกลุ่มยาที่ทำให้เกิด </span>ADRs <span lang="TH">มากที่สุดคือ </span>systemic antibiotics <span lang="TH">ร้อยละ </span>75<span lang="TH">.</span>76 <span lang="TH">และรายการยาที่ทำให้เกิด </span>ADRs <span lang="TH">มากที่สุดคือ </span>ceftriaxone <span lang="TH">ร้อยละ </span>40<span lang="TH">.</span>91 <span lang="TH">อาการที่พบส่วนใหญ่เป็นอาการทางระบบผิวหนัง ได้แก่ </span>maculopapular rash, rash <span lang="TH">และ </span>urticaria <span lang="TH">ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิด </span>ADRs <span lang="TH">ในผู้ป่วยศัลยกรรมที่สำคัญ ได้แก่ เพศหญิง และการเข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยวิกฤตศัลยกรรมและวิกฤตศัลยกรรมประสาท ผู้ป่วยที่เกิด </span>ADRs <span lang="TH">มีค่าเฉลี่ยต้นทุนการดูแลสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><em>p</em><span lang="TH">-</span>value <span lang="TH">= </span>0<span lang="TH">.</span>041<span lang="TH">) โดยมีค่าเฉลี่ยต้นทุน </span>6,022<span lang="TH">.</span>30 <span lang="TH">บาท/วันนอน เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่เกิด </span>ADRs <span lang="TH">ซึ่งมีค่าเฉลี่ยต้นทุน </span>5,860<span lang="TH">.</span>57 <span lang="TH">บาท/วันนอน</span></p> <p class="Style1"><strong><span lang="TH">สรุปผล:</span></strong><span lang="TH"> ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่าการเกิด </span>ADRs <span lang="TH">ในผู้ป่วยศัลยกรรมส่งผลให้ต้นทุนทางตรงด้านการแพทย์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ การเฝ้าระวัง </span>ADRs<span lang="TH"> อย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในกรณีการใช้ยากลุ่ม </span>systemic antibiotics<span lang="TH"> สามารถเพิ่มความปลอดภัย ใช้ทรัพยากรอย่างเหมาะสม และลดค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้ป่วยในโรงพยาบาล ซึ่งผลการวิจัยนี้ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการ </span>ADRs <span lang="TH">อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มผลลัพธ์ในการรักษาและประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย</span></p> นุศรา หมัดบวช, ปิติกานต์ สืบชนะ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16048 Tue, 15 Jul 2025 00:00:00 +0700 สถานการณ์การแพ้ยาซ้ำที่เป็นการแพ้ยาข้ามกลุ่มโครงสร้างทางเคมีในยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ในผู้ป่วยที่มารับบริการที่โรงพยาบาลสุรินทร์ https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16085 <p><strong>ความเป็นมา: </strong>การแพ้ยาต้านการอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) พบอุบัติการณ์สูง เป็นหนึ่งในปัญหาสำคัญทางคลินิกที่พบบ่อย โดยเฉพาะการแพ้ยาข้ามกลุ่มโครงสร้างทางเคมีซึ่งอาจนำไปสู่การแพ้ยาที่รุนแรง อย่างไรก็ตาม รายงานการแพ้ยาในลักษณะดังกล่าวยังมีจำนวนจำกัดในประเทศไทย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาสถานการณ์ของการแพ้ยาแบบข้ามกลุ่มโครงสร้างทางเคมีในยากลุ่ม NSAIDs ในผู้ป่วยที่มารับบริการที่โรงพยาบาลสุรินทร์</p> <p><strong>วิธีการวิจัย:</strong> การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง โดยรวบรวมข้อมูลจากระบบฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ของโรงพยาบาล ระหว่างวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2560 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2567 วิเคราะห์ข้อมูลการแพ้ NSAIDs และการแพ้ยาซ้ำข้ามกลุ่มโครงสร้างทางเคมีด้วยสถิติเชิงพรรณนา</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> พบรายงานการแพ้ NSAIDs จำนวน 1,896 รายงาน (ผู้ป่วย 1,691 ราย) คิดเป็นร้อยละ 9.25 ของรายงานการแพ้ยาทั้งหมด (20,497 รายงาน) โดยร้อยละ 51.56 เป็นอาการแพ้ที่รุนแรง กลุ่มยาที่พบการแพ้มากที่สุด ได้แก่ arylpropionic acids (โดยเฉพาะ ibuprofen) รองลงมา ได้แก่ phenylacetic acids (diclofenac) พบผู้ป่วยที่มีการแพ้ยาซ้ำแบบข้ามกลุ่มโครงสร้างทางเคมีจำนวน 182 ราย (ร้อยละ 10.76 ของจำนวนผู้ป่วยที่แพ้ NSAIDs ทั้งหมด) โดยคู่กลุ่มยาที่พบการแพ้ยาซ้ำแบบข้ามกลุ่มโครงสร้างทางเคมีมากที่สุด คือ arylpropionic acids - phenylacetic acids (ร้อยละ 43.97)</p> <p><strong>สรุปผลการวิจัย:</strong> การแพ้ยาข้ามกลุ่มโครงสร้างทางเคมีในยากลุ่ม NSAIDs พบในผู้ป่วยร้อยละ 10.76 ซึ่งมีนัยสำคัญต่อความปลอดภัยในการใช้ยา บุคลากรทางการแพทย์ควรมีความตระหนักในการซักประวัติการแพ้ยาอย่างละเอียดและติดตามการแพ้ยาอย่างใกล้ชิด</p> ลักขณา เหมาะหมาย, รัชนก เรียบร้อย, ชวลิต เพียรมี ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16085 Tue, 15 Jul 2025 00:00:00 +0700 การประเมินภาวะภูมิไวเกินที่เกิดจากการให้ยาเคมีบำบัดชนิดฉีด ณ โรงพยาบาลอุดรธานี https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16467 <p class="Style2"><strong>ที่มาของปัญหา: </strong>ภาวะภูมิไวเกิน (hypersensitivity reactions) สามารถเกิดขึ้นได้จากการให้ยาเคมีบำบัดและมีความรุนแรงแตกต่างกัน ภาวะภูมิไวเกินอาจส่งผลกระทบต่อการรักษาทำให้ต้อง เปลี่ยนยาหรือหยุดให้ยาอย่างถาวร</p> <p class="Style2"><strong>วัตถุประสงค์:</strong> การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจอุบัติการณ์ ความรุนแรงของภาวะภูมิไวเกิน จากการได้รับ ยาเคมีบำบัด<span lang="TH">ชนิดฉีด</span>และประเมินประสิทธิผลของ<span lang="TH">การจัดการ</span>ภาวะภูมิไวเกิน</p> <p class="Style2"><strong>วิธีวิจัย:</strong> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบติดตามย้อนหลังในผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด<span lang="TH">ชนิดฉีด </span>ณ <span lang="TH">โรงพยาบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี </span>ระหว่างวันที่ 1 มกราคม <span lang="TH">พ.ศ. </span>2562 ถึง 31 ธันวาคม <span lang="TH">พ.ศ. </span>2566 วิเคราะห์อุบัติการณ์ความรุนแรงและรอบการให้ยาที่เริ่มมีอาการของภาวะภูมิไวเกินด้วยสถิติเชิงพรรณา เปรียบเทียบความแตกต่างของผลลัพธ์จากการจัดการภาวะภูมิไวเกิ<span lang="TH">น</span>ด้วย<span lang="TH">การปรับอัตราการให้ยาที่แตกต่างกัน</span>ด้วยสถิติ Fisher exact test วิเคร<span lang="TH">า</span>ะห์ผลด้วย IBM SPSS Statistics version 28</p> <p class="Style2"><strong>ผลการวิจัย:</strong> ผู้ป่วยมะเร็งที่รับการรักษามีจำนวน 12,914 ครั้งการรักษา เกิดภาวะภูมิไวเกิ<span lang="TH">น</span>จำนวน 351 ครั้ง (ร้อยละ 2.7) ยาเคมีบำบัดชนิดฉีดที่เกิดภาวะภูมิไว<span lang="TH">เกิน</span>สูงที่สุด คือ paclitaxel ร้อยละ 43 มีค่ามัธยฐานของรอบการให้ยาที่เริ่มมีอาการ (onset) 2 รอบ รองลงมาคือ carboplatin ค่ามัธยฐานของรอบการให้ยาที่เริ่มมีอาการ 11 รอบ ระดับความรุนแรงของภาวะภูมิไวเกินส่วนใหญ่เป็น CTCAE grade 2 ร้อยละ 56.1 การจัดการด้วยการ<span lang="TH">เพิ่ม</span>ระยะเวลาในการให้ยาที่มีอัตราความสำเร็จร้อยละ 75.0-84.6 ส่วนการ<span lang="TH">ทำ</span> desensitization มีอัตราความสำเร็จ ร้อยละ 88.4 <span lang="TH">การจัดการภาวะภูมิไวเกินด้วยการปรับอัตราการให้ยาโดยเพิ่มระยะเวลาให้นานขึ้นทั้ง</span> 2 <span lang="TH">วิธีที่ต่างกันไม่พบความแตกต่างของอัตราความสำเร็จ (</span><em>p</em>-value = 0.105) <span lang="TH">โดยวัดจากการไม่เกิดภูมิไวเกินซ้ำและสามารถรับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดจนแล้วเสร็จ</span></p> <p class="Style2"><strong>บทสรุป:</strong> อุบัติการณ์การเกิดภาวะภูมิไวเกินส่วนใหญ่เกิดจาก paclitaxel โดย ส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ไม่รุนแรง (CTCAE grade 1 และ 2) การจัดการด้วยการ<span lang="TH">เพิ่ม</span>ระยะเวลาในการให้ยาเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ มีอัตราการตอบสนองที่สูง ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิไวเกินในระดับรุนแรง (CTCAE grade 3 และ 4) อาจจัดการด้วยการ<span lang="TH">เพิ่ม</span>ระยะเวลาในการให้ยาหรือการ<span lang="TH">ทำ</span> desensitization</p> อุดมลักษณ์ รังสิยาภรณ์รัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16467 Tue, 15 Jul 2025 00:00:00 +0700 ผลลัพธ์ของไนโทรฟูแรนโทอินในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะชนิดไม่ซับซ้อน https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16461 <p class="Style2"><strong><span lang="TH">ความเป็นมา</span></strong><span lang="TH">: เชื้อก่อโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะชนิดไม่ซับซ้อนที่พบบ่อยคือ </span><em>Escherichia coli,</em> <em>Klebsiella pneumoniae</em><span lang="TH"> ซึ่งพบว่าเชื้อดื้อต่อยารักษาหลักคือ โคไทรม็อกซาโซลและนอร์ฟล็อกซาซิน มากกว่าร้อยละ 20 จึงจำเป็นต้องหายาปฏิชีวนะที่เหมาะสมมาทดแทน</span></p> <p class="Style2"><strong><span lang="TH">วัตถุประสงค์:</span></strong><span lang="TH"> เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ของไนโทรฟูแรนโทอินในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะชนิดไม่ซับซ้อน กับยาปฏิชีวนะกลุ่ม </span>beta<span lang="TH">-</span>lactams, fluoroquinolones, sulfonamides</p> <p class="Style2"><strong><span lang="TH">วิธีการวิจัย: </span></strong><span lang="TH">เป็นการศึกษาแบบพรรณนาย้อนหลังเปรียบเทียบผลลัพธ์ทางคลินิก ผลลัพธ์ทางจุลชีววิทยา และการเกิดเป็นซ้ำ ระหว่างกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยไนโทรฟูแรนโทอิน จำนวน 127 รายกับกลุ่มที่ได้รับยาปฏิชีวนะกลุ่ม </span>beta<span lang="TH">-</span>lactams, fluoroquinolones, sulfonamides<span lang="TH"> จำนวน 325 ราย ในระหว่าง เมษายน ถึง กันยายน พ.ศ. </span>2563</p> <p class="Style2"><strong><span lang="TH">ผลการวิจัย: </span></strong><a name="_Hlk202283841"></a><span lang="TH">จากกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 452 ราย พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ได้รับไนโทรฟูแรนโทอิน (127 ราย) ให้ผลการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะชนิดไม่ซับซ้อนหายร้อยละ 14.3 มากกว่าการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะกลุ่ม </span>beta<span lang="TH">-</span>lactams, fluoroquinolones, sulfonamides<span lang="TH"> (325 ราย) ที่ให้ผลหายร้อยละ 10.7 แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><em>p</em><span lang="TH">-</span>value<span lang="TH"> = </span>0<span lang="TH">.</span>002<span lang="TH">) และตรวจไม่พบเชื้อในปัสสาวะสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><em>p</em><span lang="TH">-</span>value<span lang="TH"> = </span>0<span lang="TH">.</span>046<span lang="TH">) ร้อยละ </span>83<span lang="TH">.</span>3<span lang="TH"> และร้อยละ </span>65<span lang="TH">.</span>8<span lang="TH"> พบว่าการกลับเป็นซ้ำทั้ง 2 กลุ่มไม่แตกต่างกัน คือ ร้อยละ 14.0 และ ร้อยละ 9.1 (</span><em>p</em><span lang="TH">-</span>value<span lang="TH"> = </span>0<span lang="TH">.</span>469<span lang="TH">)</span></p> <p class="Style2"><strong><span lang="TH">สรุปผล:</span></strong> <span lang="TH">ไนโทรฟูแรนโทอิน<span style="color: black;">มีประสิทธิภาพดีกว่ายาปฏิชีวนะอื่น ๆ เหมาะสมเป็นยาทางเลือกแรกในการรักษาโรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะชนิดไม่ซับซ้อน</span><s></s></span></p> มานัส สิทธิชัย ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16461 Tue, 15 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยเด็กที่ได้รับยาเตรียมเฉพาะรายในงานเภสัชกรรมการผลิต โรงพยาบาลน่าน https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16385 <p><strong>ความเป็นมา:</strong> การดูแลผู้ป่วยเด็กที่ได้รับยาเตรียมเฉพาะรายของงานเภสัชกรรมการผลิตพบปัญหาทางยา ได้แก่ การไม่มารับยาตามนัดของเภสัชกร ผู้ป่วยเด็กมาก่อนนัด เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลต่อความร่วมมือในการใช้ยา ผู้วิจัยจึงต้องการศึกษาสาเหตุของปัญหา และปัจจัยที่สัมพันธ์กับความร่วมมือในการใช้ยา</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อศึกษาสาเหตุของปัญหา และปัจจัยที่สัมพันธ์กับความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยเด็กที่ได้รับยาเตรียมเฉพาะรายจากงานเภสัชกรรมการผลิต</p> <p><strong>วิธีวิจัย:</strong> วิเคราะห์ภาคตัดขวาง 3 เดือนตั้งแต่สิงหาคม-ตุลาคม พ.ศ. 2567 ผู้ป่วยเด็กจำนวน 81 ราย โดยใช้แบบสอบถามข้อมูลพื้นฐานของผู้ป่วยเด็ก ได้แก่ เพศ อายุ โรคที่ใช้ยาเตรียมเฉพาะราย ความถี่ของการรับประทานยาเตรียมเฉพาะราย โรคประจำตัวอื่น ๆ จำนวนชนิดของยาโรคประจำตัวอื่นที่รับประทานร่วมด้วย ผลข้างเคียงของยา สถานภาพของผู้ดูแล/ผู้ปกครองเด็ก การอยู่อาศัยของเด็ก ช่วงเวลาที่สามารถดูแลเด็ก อาชีพผู้ดูแล รายได้ของครอบครัวต่อเดือน และแบบสอบถามทัศนคติในการรับบริการยาเตรียมเฉพาะราย ทัศนคติพฤติกรรมการใช้ยา สถิติที่ใช้ chi-square test และ Fisher’s exact test สำหรับข้อมูลพื้นฐาน และ multiple regression analysis เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ความร่วมมือในการใช้ยา</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> ผู้ป่วยเด็กส่วนใหญ่ได้ตำรับยากลุ่มโรคติดเชื้อร้อยละ 49.38 โดยมีร้อยละของผู้ป่วยที่มีความร่วมมือในการใช้ยาระดับดีเพียง 25.93 พบว่าสถานภาพของผู้ดูแล/ผู้ปกครองเด็ก และการอยู่อาศัยของเด็กมีความร่วมมือในการใช้ยาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value &lt; 0.05) และทัศนคติในการบริการรับยาเตรียมเฉพาะราย พฤติกรรมการใช้ยามีความสัมพันธ์กับความร่วมมือในการใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value &lt; 0.05)</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>สถานภาพของผู้ดูแล/ผู้ปกครอง การอยู่อาศัยของเด็กกับพ่อแม่หรือผู้อื่นมีผลต่อความแตกต่างของความร่วมมือในการใช้ยาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ทัศนคติในการรับบริการยาเตรียมเฉพาะราย และทัศนคติพฤติกรรมการใช้ยามีความสัมพันธ์ต่อความร่วมมือในการใช้ยาของผู้ป่วยเด็กที่ได้รับยาเตรียมเฉพาะรายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ</p> ธรรมรัฐ อัศวพุทธิ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16385 Tue, 15 Jul 2025 00:00:00 +0700 ปัจจัยต่อความสำเร็จ และการพัฒนารูปแบบของการบริบาลเภสัชกรรมผู้ป่วยใน: ศึกษานำร่องในโรงพยาบาลในเขตสุขภาพที่ 11 https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16072 <p><strong>ความเป็นมา: </strong>ผลสำรวจมาตรฐานความปลอดภัยด้านยาของการบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยในพบว่ายังมีการปฏิบัติที่ไม่ครบถ้วน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อพัฒนาระบบการบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยใน และวิเคราะห์ผลต่อความรู้ ทัศนคติ การดำเนินงาน รวมถึงปัจจัยที่มีผลต่อการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านยา ในพื้นที่นำร่องเขตสุขภาพที่ 11</p> <p><strong>วิธีวิจัย</strong>: การวิจัยเชิงพัฒนา ดำเนินการระหว่างพฤษภาคม - ตุลาคม 2567 ใน 3 จังหวัด โดยพัฒนาระบบผ่านการวิเคราะห์โอกาสพัฒนาและการประชุมเภสัชกร ประเมินผลโดยเปรียบเทียบก่อน-หลังการพัฒนา ด้วยสถิติ McNemar test, Wilcoxon signed rank test และวิเคราะห์ปัจจัยด้วย multiple regression</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยเภสัชกร 160 คน อายุเฉลี่ย 37.9 ปี โดยร้อยละ 63.1 ปฏิบัติงานด้านบริการเภสัชกรรม หลังการพัฒนา ความรู้เกี่ยวกับแนวคิดและหลักการบริบาลทางเภสัชกรรมเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 93.8 (SD = 9.3) เป็น 94.7 (SD = 9.2) ทัศนคติเชิงบวกปรับเพิ่มจากค่ามัธยฐานระดับ 3 เป็นระดับ 4 (คะแนนเต็ม 5) และการดำเนินงานด้านบริบาลทางเภสัชกรรมมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยอัตราการผ่านมาตรฐานความปลอดภัยด้านยาเพิ่มจากร้อยละ 75.3 (SD = 23.5) เป็น 77.9 (SD = 24.8) ปัจจัยที่มีอิทธิพลคือความรู้เกี่ยวกับแนวคิดและหลักการในการบริบาลทางเภสัชกรรม จำนวนเภสัชกรที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาล และระดับความสามารถปฏิบัติได้ในการดำเนินการบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยใน</p> <p><strong>สรุป</strong>: การพัฒนาระบบการบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยใน ทำให้ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยด้านยามากขึ้น ปัจจัยที่ส่งผล ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับแนวคิดและหลักการในการบริบาลทางเภสัชกรรม จำนวนเภสัชกร และระดับความสามารถการปฏิบัติได้ในการดำเนินการบริบาลทางเภสัชกรรมผู้ป่วยใน</p> ปิยะวรรณ กุวลัยรัตน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16072 Tue, 15 Jul 2025 00:00:00 +0700 ผลการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์แจ้งเตือนแบบทันทีในการป้องกันการสั่งยาที่ไม่เหมาะสมในผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่อง ในโรงพยาบาลชัยภูมิ https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16278 <p><strong>ความเป็นมา:</strong> การสั่งยาในผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่อง ควรปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับการทำงานของไต การพัฒนาระบบเพื่อสนับสนุนการตัดสินใจของแพทย์จะมีส่วนช่วยในการตัดสินใจทางคลินิกในการป้องกันความคลาดเคลื่อนในการสั่งยาและเพิ่มความปลอดภัยในการดูแลผู้ป่วย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อประเมินผลการแจ้งเตือนและการตอบสนองของผู้สั่งยาต่อการแจ้งเตือนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์แจ้งเตือนแบบทันทีในการป้องกันการสั่งยาที่ไม่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่อง</p> <p><strong>วิธีวิจัย: </strong>การศึกษาแบบย้อนหลัง เก็บข้อมูลผู้ป่วยที่ได้รับการสั่งยา 11 รายการที่มีการทำงานของไต (eGFR) ตามที่กำหนดในโปรแกรมแจ้งเตือนหรือไม่มีประวัติ eGFR ในระยะเวลา 1 ปี และติดตามผลการตอบสนองต่อการแจ้งเตือน ของผู้สั่งยาจากเวชระเบียนของโรงพยาบาลในผู้ป่วยแต่ละราย ในช่วงเวลาตั้งแต่ 1 เมษายน พ.ศ. 2567 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2567</p> <p><strong>ผลการวิจัย:</strong> พบแจ้งเตือนทั้งหมด 11,338 ครั้ง ประกอบด้วยผู้ป่วยที่ได้รับยาและไม่มีประวัติ eGFR ร้อยละ 87.56 และผู้ป่วยที่มี eGFR ตามที่กำหนดร้อยละ 12.44 การตอบสนองของผู้สั่งยาต่อการแจ้งเตือนของโปรแกรมกรณีมี eGFR ตามที่กำหนด ผู้สั่งยายกเลิกการสั่งยาร้อยละ 14.89 ยืนยันการสั่งยาต่อและให้ติดตาม eGFR ในการนัดครั้งถัดไปร้อยละ 20.78 ยืนยันการสั่งยาต่อโดยไม่ติดตาม eGFR ร้อยละ 64.33 กรณีที่ผู้ป่วยไม่มีประวัติ eGFR ผู้สั่งยายืนยันการสั่งยาต่อและให้ติดตาม eGFR ในการนัดครั้งถัดไปร้อยละ 9.48 ยืนยันการสั่งยาต่อโดยไม่ติดตาม eGFR ร้อยละ 90.52</p> <p><strong>สรุปผล: </strong>โปรแกรมแจ้งเตือนสามารถแจ้งเตือนได้ตามที่กำหนด และสามารถช่วยให้ผู้สั่งยาทบทวน ปรับเปลี่ยนการสั่งยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยที่มีภาวะไตบกพร่องโดยใช้ข้อมูลเชิงคลินิกร่วมกับคำเตือน</p> สิริรัตน์ ภูมิรัตนประพิณ, ศิโรรัตน์ วราอัศวปติ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16278 Tue, 15 Jul 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันการประสานรายการยาในขั้นตอนการจำหน่ายผู้ป่วย https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16349 <p class="Style2CxSpFirst"><strong><span lang="TH">ความเป็นมา</span></strong><span lang="TH">: ระบบสารสนเทศ </span>HosXp v<span lang="TH">.3 มีการใช้อย่างแพร่หลายในโรงพยาบาลรัฐ และการประสานรายการยาเป็นหนึ่งในงานเภสัชกรรมที่เพิ่มคุณภาพการรักษา อย่างไรก็ตามระบบ </span>HosXp v<span lang="TH">.3 ยังไม่มีฟังก์ชันการประสานรายการยาในขั้นตอนการจำหน่ายผู้ป่วย การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ เช่น เว็บแอปพลิเคชัน อาจช่วยเพิ่มคุณภาพและประสิทธิภาพของกระบวนการนี้</span></p> <p class="Style2CxSpMiddle"><strong><span lang="TH">วัตถุประสงค์: </span></strong><span lang="TH">เพื่อพัฒนาและประเมินเว็บแอปพลิเคชันการประสานรายการยาในขั้นตอนการจำหน่ายผู้ป่วย</span></p> <p class="Style2CxSpMiddle"><strong><span lang="TH">วิธีวิจัย: </span></strong><span lang="TH">พัฒนาเว็บแอปพลิเคชันด้วยภาษา </span>PHP <span lang="TH">และฐานข้อมูล </span>MySQL <span lang="TH">เก็บข้อมูลเปรียบเทียบความคลาดเคลื่อนทางยาของผู้ป่วยก่อนและหลังการใช้งานในระยะเวลา </span>3 <span lang="TH">เดือน ประเมินความพึงพอใจของเภสัชกรโรงพยาบาลจำนวน </span>17<span lang="TH"> คนจากจำนวนเภสัชกรทั้งหมด 18 คน ใน </span>4 <span lang="TH">ด้าน ได้แก่ การใช้งานระบบ ความมีประสิทธิภาพ ความมีประสิทธิผล และความพึงพอใจของผู้ใช้งาน</span></p> <p class="Style2CxSpMiddle"><strong><span lang="TH">ผลการวิจัย:</span></strong><span lang="TH"> ผู้ป่วยได้รับการประสานรายการยาก่อนใช้เว็บแอปพลิเคชันมีจำนวน </span>231 <span lang="TH">ราย และเพิ่มขึ้นเป็น </span>791 <span lang="TH">รายหลังการใช้งาน เพิ่มขึ้นจากร้อยละ </span>13<span lang="TH">.</span>51 <span lang="TH">เป็นร้อยละ </span>40<span lang="TH">.</span>40 <span lang="TH">ระบบสามารถช่วยตรวจจับความคลาดเคลื่อนทางยาเพิ่มขึ้นจาก </span>7 <span lang="TH">เป็น </span>15 <span lang="TH">เหตุการณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (</span><span style="font-family: 'Calibri',sans-serif;">χ</span>² <span lang="TH">= </span>10<span lang="TH">.</span>51, <em>p<span lang="TH">-</span></em>value <span lang="TH">= </span>0<span lang="TH">.</span>001<span lang="TH">) ความพึงพอใจของผู้ใช้งานอยู่ในระดับมากที่สุดในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านการใช้งานระบบได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุด </span>4<span lang="TH">.</span>50±0<span lang="TH">.</span>61<span lang="TH"> จาก 5 คะแนน</span></p> <p class="Style2CxSpLast"><strong><span lang="TH">สรุปผล:</span></strong><span lang="TH"> เว็บแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นสามารถเพิ่มจำนวนการประสานรายการยา และช่วยในการประสานรายการยาและป้องกันความคลาดเคลื่อนทางยา รวมทั้งตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน</span></p> ธนิน กองพัฒน์พาณิชย์, พีรยศ ภมรศิลปธรรม, วรวุฒิ อ่อนเอี่ยม ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16349 Tue, 15 Jul 2025 00:00:00 +0700 การพัฒนาและตรวจสอบความใช้ได้ของวิธีวิเคราะห์หาปริมาณแคนนาบิไดออล (CBD) ในตำรับยาครีม 1% ซีบีดี ด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16474 <p><strong>ความเป็นมา</strong>: โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรมีการพัฒนาตำรับยาครีม 1.0% w/w แคนนาบิไดออล (CBD) สำหรับใช้ในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินและโรคผิวหนังอักเสบ ดังนั้น จึงมีการพัฒนาวิธีวิเคราะห์หาปริมาณ CBD ที่มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือเพื่อควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อพัฒนาและตรวจสอบความใช้ได้ของวิธีวิเคราะห์เชิงปริมาณ CBD ในตำรับยาครีม 1.0% w/w CBD ด้วยเทคนิคโครมาโทกราฟีของเหลวสมรรถนะสูง (HPLC)</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: วิเคราะห์หาปริมาณ CBD ในตำรับยาครีม ด้วยเทคนิค HPLC โดยใช้คอลัมน์ NexLeaf CBX for Potency (C18) ที่อุณหภูมิ 35 องศาเซลเซียส ความยาวคลื่น 220 นาโนเมตร วัฏภาคเคลื่อนที่ประกอบด้วย 0.085% orthophosphoric acid ใน deionized water และ 0.085% orthophosphoric acid ใน acetonitrile ในอัตราส่วนที่เปลี่ยนแปลงระหว่างการวิเคราะห์ (gradient elution) อัตราการไหล 1.6 มิลลิลิตร/นาที การตรวจสอบความใช้ได้ของวิธีวิเคราะห์จะประเมินในหัวข้อ การทดสอบความเหมาะสมของระบบ (system suitability) ความจำเพาะเจาะจง (specificity) ความเป็นเส้นตรง (linearity) ช่วงความเข้มข้น (range) ความแม่นยำ (accuracy) และความเที่ยง (precision) ตามแนวทางของ ICH Q2(R1)</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: วิธีวิเคราะห์หาปริมาณที่พัฒนาขึ้นแสดงความจำเพาะเจาะจงในการแยก CBD โดยไม่มีสัญญาณรบกวนจากส่วนประกอบอื่นในสูตรตำรับยาครีม โดยมีความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงในช่วงความเข้มข้น 1-100 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร (R² = 0.9999) ความแม่นยำรายงานในค่าร้อยละการคืนกลับอยู่ในช่วง 98.5-101.2% และความเที่ยงรายงานในค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานสัมพัทธ์ (%RSD) ต่ำกว่า 1% ทั้งในการทดสอบภายในวันเดียวกัน (intra-day precision) และระหว่างวัน (inter-day precision) เมื่อนำวิธีที่พัฒนาขึ้นกับการวิเคราะห์ตำรับยาครีม 1.0% CBD จำนวน 2 ตัวอย่าง พบว่าปริมาณ CBD ที่ตรวจวัดได้เท่ากับ 1.1023% และ 1.1918% w/w</p> <p><strong>สรุปผลการศึกษา</strong>: วิธีวิเคราะห์หาปริมาณ CBD ในตำรับยาครีม 1.0% CBD ด้วยเทคนิค HPLC ที่พัฒนาขึ้นเป็นไปตามข้อกำหนดมาตรฐานสากลสำหรับการวิเคราะห์สารออกฤทธิ์ในผลิตภัณฑ์ยา มีความแม่นยำ เที่ยงตรง และน่าเชื่อถือ สามารถนำไปใช้ในการควบคุมคุณภาพผลิตภัณฑ์ยาครีม CBD ได้</p> โสภิต บุษยะจารุ, เกษรา ศรีไพโรจน์ ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0 https://thaidj.org/index.php/TJCP/article/view/16474 Tue, 15 Jul 2025 00:00:00 +0700