https://thaidj.org/index.php/jpph/issue/feed
(PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
2025-08-01T23:12:47+07:00
ผศ.(พิเศษ)พญ.ปาริชาติ นิยมทอง
pniyomthong@yahoo.com
Open Journal Systems
<p>เป็นวารสารวิชาการทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ทางคลินิก และสาธารณสุขและสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นสื่อกลางเผยแพร่ แลกเปลี่ยนความคิดผลงานวิชาการระหว่างหน่วยงานภายในและภายนอกได้แก่ นิพนธ์ต้นฉบับ บทความปริทัศน์ รายงานผู้ป่วย บทความพิเศษ เป็นต้น</p> <p> </p>
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/16127
ผลของการใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยตามระดับความเร่งด่วน ณ จุดคัดกรอง งานผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลลำพูน
2025-03-20T09:11:39+07:00
พวงแก้ว ไชยรังษี
pachara2003@gmail.com
อัจฉรา จันทรานิมิตร
pachara2003@gmail.com
<p><strong>บทนำ: </strong>การคัดแยกประเภทผู้ป่วยก่อนเข้ารับการตรวจที่ถูกต้อง เป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการช่วยชีวิตได้อย่างทันเวลาและช่วยลดผลกระทบที่เกิดจากการให้การช่วยเหลือล่าช้า</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่อเปรียบเทียบความถูกต้องในการคัดแยกผู้ป่วย ก่อนและหลังใช้แนวทางการคัดแยก และเปรียบเทียบระยะเวลารอคอยของผู้ป่วยหลังใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยกับเกณฑ์ MOPH ED Triage</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยที่เข้ารับบริการตรวจ งานการพยาบาลผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลลำพูน จำแนกเป็นกลุ่มควบคุมให้การคัดแยกแบบเดิม จำนวน 200 ราย และกลุ่มทดลองใช้แนวทางการคัดแยกแบบใหม่ จำนวน 200 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ แนวทางการคัดแยกตามเกณฑ์ MOPH ED Triage เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แบบบันทึกคุณภาพการคัดแยก และแบบบันทึกระยะเวลารอคอย พบแพทย์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ สถิติ Fisher’s exact probability test ในการทดสอบความแตกต่างของข้อมูลส่วนบุคคล และคุณภาพการคัดแยกผู้ป่วย ก่อนและหลังใช้แนวทางคัดแยก และสถิติ One-sample t-test ในการทดสอบระยะเวลารอคอยของผู้ป่วยหลังใช้แนวทางการคัดแยกผู้ป่วยกับ เกณฑ์ MOPH ED Triage</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>ผลการศึกษาพบว่า ความถูกต้องในการคัดแยกผู้ป่วยก่อนและหลังใช้แนวทางการคัดแยกแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยมีการคัดแยกผู้ป่วย ได้ถูกต้องเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 88.5 เป็นร้อยละ 6.5 โดยพบ Under triage เพียงร้อยละ 1.0 และ Over triage ร้อยละ 2.5 เมื่อเปรียบเทียบระยะเวลารอคอยพบแพทย์ของผู้ป่วยหลังใช้แนวทางการคัดแยกกับเกณฑ์ MOPH ED triage พบว่า สามารถคัดแยก ผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต ได้เท่ากับเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) รวมถึงสามารถการคัดแยกผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วนมาก ผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน ผู้ป่วยฉุกเฉินไม่เร่งด่วน และผู้ป่วยทั่วไป ได้ในระยะเวลาที่น้อยกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05)</p> <p><strong>สรุป: </strong>แนวทางการคัดแยกนี้ ช่วยเพิ่มคุณภาพการคัดแยกผู้ป่วยและลดระยะเวลารอคอยของผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>การคัดแยกผู้ป่วย, ระดับความเร่งด่วน, จุดคัดกรอง</p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/16269
แนวโน้มอัตราอุบัติการณ์การเกิดโรคมะเร็งปอดย้อนหลัง 10 ปี และการรายงานระดับ PM ในจังหวัดแพร่
2025-04-22T10:19:28+07:00
อรรณพร ผาเจริญ
unnaporn@gmail.com
วุฒิพงศ์ ต๊ะศรีเรือน
unnaporn@gmail.com
ปาริชาติ นิยมทอง
unnaporn@gmail.com
ธานินทร์ ฉัตราภิบาล
unnaporn@gmail.com
<p><strong>บทนำ: </strong>มะเร็งปอดเป็นมะเร็งที่พบบ่อยและเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะในจังหวัดแพร่ ซึ่งอัตราการเกิดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจัยเสี่ยงสำคัญ คือ การสูบบุหรี่ และแสดงการรายงาน มลพิษทางอากาศจากฝุ่น PM10 และ PM2.5 ที่เกินมาตรฐาน</p> <p><strong>วัตถุประสงค์: </strong>เพื่ออธิบายระดับของ PM ในแต่ละปี และอัตราอุบัติการณ์เกิดโรคมะเร็งปอดในระยะเวลาย้อนหลัง 10 ปีจังหวัดแพร่</p> <p><strong>วิธีการศึกษา: </strong>การศึกษาเป็น Descriptive research วิเคราะห์ข้อมูลจากโรงพยาบาลแพร่ ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ถึง 1 มกราคม 2557 ข้อมูลที่รวบรวม ได้แก่ อายุ เพศ ประวัติการสูบบุหรี่ และการวินิจฉัยมะเร็งปอดใช้แบบจำลอง Poisson regression หลายตัวแปรในการวิเคราะห์ความแตกต่างของอัตราการเกิดมะเร็งปอดโดยผลลัพธ์นำเสนอในรูปอัตราส่วนอุบัติการณ์ (Incidence Rate Ratios: IRR) และช่วงความเชื่อมั่น 95%</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>อัตราการเกิดมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบสูงสุดในปี 2562 ที่ 35.09 ต่อประชากร 100,000 คน เพศชายมีอัตราการเพิ่มขึ้นมากกว่าเพศหญิง โดยพบว่า 95% ของผู้ชายและ 98% ของผู้หญิงที่เป็นมะเร็งปอดเคยสูบบุหรี่ ส่วน PM2.5 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราการเกิดมะเร็งปอด แต่จำนวนผู้ป่วยมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นทุกเดือน ไม่สัมพันธ์กับช่วงที่ PM เพิ่มสูงสุด</p> <p><strong>สรุป: </strong>อัตราการเกิดมะเร็งปอดในจังหวัดแพร่เพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา โดยพบอัตราที่สูงในเพศชายและกลุ่มอายุ 55-75 ปี ระดับ PM10 และ PM2.5 ในพื้นที่มีค่าเกินมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีแนวโน้มที่คล้ายกันระหว่างระดับ PM และอัตราการเกิดมะเร็งปอด แต่การศึกษานี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา จึงไม่สามารถสรุปความสัมพันธ์เชิงเหตุและผลได้อย่างชัดเจน</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>อัตราอุบัติการณ์เกิดโรคมะเร็งปอด, ระดับ PM2.5, ระดับ PM10</p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/16261
ปัจจัยทำนายที่สัมพันธ์กับการเกิดหืดกำเริบระดับปานกลางและระดับรุนแรงในผู้ป่วยที่ติดตามการรักษาที่คลินิกโรคหืดโรงพยาบาลแพร่
2025-04-21T08:47:57+07:00
ภัทรวดี สุขสว่างวงศ์
thanapornb65@nu.ac.th
ธนภรณ์ บุญญา
thanapornb65@nu.ac.th
ปาริชาติ นิยมทอง
thanapornb65@nu.ac.th
ธานินทร์ ฉัตราภิบาล
thanapornb65@nu.ac.th
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยโรคหืด 3.7% มีอาการกำเริบรุนแรงและการเสียชีวิตด้วยโรคหืดเกิดขึ้นมากกว่าในประเทศรายได้น้อย องค์การอนามัยโลกจึงมีนโยบายติดตามสถานการณ์โรคหืดทั่วโลก เพื่อลดภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ปี 2567 เขตสุขภาพที่ 1 มีผู้ป่วยโรคหืดมากกว่า 47<strong>,</strong>000 ราย และผู้ป่วยหืดกำเริบเฉียบพลัน 3,960 ราย รายงานคลังข้อมูลสุขภาพ (Health data center) ของโรงพยาบาลแพร่ ในปี 2566 มีผู้ป่วยโรคหืดที่อาการกำเริบรุนแรง 70 ราย และเพิ่มขึ้นมากกว่า 85 ราย ในปี 2567</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทางคลินิกกับการเกิดหืดกำเริบระดับปานกลางและรุนแรง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> Retrospective dynamic observation ในกลุ่มผู้ป่วยโรคหืดอายุมากกว่า 15 ปี ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 ถึง 30 กันยายน 2565 ผู้ป่วยที่เคยมารับบริการห้องฉุกเฉินในช่วงเวลาที่ทำการเก็บข้อมูล จัดเป็นกลุ่มเกิดหืดกำเริบระดับปานกลางและระดับรุนแรง และผู้ป่วยที่ ไม่มีประวัติรับบริการห้องฉุกเฉินด้วยโรคหืดกำเริบ จัดเป็นกลุ่มไม่เกิดหืดกำเริบ สำรวจปัจจัยที่สัมพันธ์กับการกำเริบของโรคหืด และหาความสัมพันธ์ของแต่ละปัจจัยต่อการเกิดหืดกำเริบระดับปานกลางและระดับรุนแรง</p> <p><strong>ผลการศึกษา: </strong>ปัจจัยที่มีแนวโน้มเพิ่มความเสี่ยงการเกิดโรคหืดกำเริบระดับปานกลางและระดับรุนแรง ได้แก่ เพศหญิง อายุมากกว่า 60 ปี ดัชนีมวลกาย Percent peripheral blood Eosinophil การอุดกั้นของหลอดลม ระดับการควบคุมอาการของโรคหืด และประวัติการเกิดอาการกำเริบจนต้องไปห้องฉุกเฉินหรือคลินิก</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ปัจจัยที่สัมพันธ์กับการเกิดหืดกำเริบระดับปานกลางและรุนแรง นำมาใช้ประโยชน์ในคลินิกโรคหืด เพื่อติดตามและเฝ้าระวังการเกิดหืดกำเริบระดับปานกลางและรุนแรง แต่ยังไม่เพียงพอต่อการสร้างโมเดลการทำนายการเกิดโรค</p> <p><strong>คำสำคัญ: </strong>โรคหืด, ปัจจัยเสี่ยงโรคหืด, โรคหืดกำเริบ, ระดับการควบคุมโรคหืด, จีน่าไกด์ไลน์</p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/16318
ความชุกและความสัมพันธ์ของภาวะโลหิตจางต่อภาวะเชาว์ปัญญาต่ำในเด็กวัยเรียนที่ห้องตรวจเด็กผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลแพร่
2025-07-04T13:43:44+07:00
กรภัทร ปุญญพัฒน์วรโชติ
hellodentt@gmail.com
ศิริขวัญ ฉลอม
hellodentt@gmail.com
บัณฑิต แจงประดิษฐ
hellodentt@gmail.com
เรืองระวี โธมัส
hellodentt@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> เด็กเรียนรู้ช้า คือเด็กที่มีระดับ IQ ต่ำ ส่งผลให้เกิดปัญหาการเรียน อารมณ์ พฤติกรรม ซึ่งเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม สาเหตุเกิดจากการเลี้ยงดู สภาพแวดล้อม หรือความบกพร่องทางกาย เช่น ภาวะโลหิตจาง การทราบความชุกของภาวะโลหิตจางและความสัมพันธ์ต่อภาวะเชาว์ปัญญาต่ำ ทำให้เกิดการวินิจฉัยและรักษาเพื่อเพิ่มศักยภาพการเรียนรู้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> หาความชุกและความสัมพันธ์ของภาวะโลหิตจางต่อภาวะเชาว์ปัญญาต่ำ ในเด็กวัยเรียนที่เข้ารับการตรวจที่ห้องตรวจเด็กผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลแพร่</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> เป็นงานวิจัยประเภท Cross-Sectional Study ศึกษาข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 จนถึงธันวาคม 2566 กลุ่มตัวอย่างคือ เด็กอายุ 9-15 ปี ที่สงสัยภาวะพร่องการเรียนรู้และสติปัญญา จำนวน 194 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ IQ ปกติ และกลุ่มที่ IQ ต่ำ วิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนา เปรียบเทียบความแตกต่างโดยใช้ Fisher’s exact probability test และ Independent t-test วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะโลหิตจางและภาวะเชาว์ปัญญาต่ำโดยใช้ Multivariable logistic regression เพื่อหาค่า Odds ratio และ 95% CI</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ภาวะโลหิตจางมีความชุก 18.60% และมีแนวโน้มเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเชาว์ปัญญาต่ำ แต่ผลยังไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (OR=1.65, 95%CI: 0.45-6.00)</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ภาวะโลหิตจางในเด็กวัยเรียนที่มีภาวะเชาว์ปัญญาต่ำมีความชุกสูงกว่าปกติและมีแนวโน้มเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเชาว์ปัญญาต่ำ</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>IQ, ความสัมพันธ์, ภาวะโลหิตจาง, ภาวะเชาว์ปัญญาต่ำ, เด็กวัยเรียน</p> <p> </p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/16381
ความชุกและปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ในผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษา ในโรงพยาบาลลำพูน
2025-05-22T12:25:51+07:00
ครรชิต กิติมา
kunchitkitima@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>ไวรัสตับอักเสบซี เป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของโลกและยังเป็นสาเหตุอันดับต้นของการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับของประเทศไทย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาความชุก และปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีของผู้เข้ารับบริการรักษาในโรงพยาบาลลำพูน</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษาย้อนหลัง กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยนอกที่มารับบริการที่ตรวจคัดกรองโดยตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบซีด้วยวิธี Chemiluminescence กลุ่มงานเทคนิคการแพทย์ โรงพยาบาลลำพูน ในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2567 จำนวน 328 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบบันทึกข้อมูลผู้เข้ารับบริการตรวจหาการติดเชื้อ HCV วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่า Chi-Square Test, Fisher exact Test และ Logistic Regression Analysis</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยนอกที่เข้ารับบริการที่ตรวจคัดกรองโดยตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัส ตับอักเสบซี โรงพยาบาลลำพูน จำนวนทั้งสิ้น 328 ราย พบผู้ป่วยติดเชื้อ HCV จำนวน 74 ราย คิดเป็นความชุกร้อยละ 22.6 ปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ได้แก่ การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนหลายคน [OR=12.12 (95%CI 2.04-34.30), p<0.001] มีรอยสักตามร่างกาย [OR=8.38 (95%CI 2.04-34.30), p<0.001] ติดเชื้อ HIV [OR=2.62 (95%CI 1.16-5.59), p<0.001] เพศชาย [OR=2.03(95%CI 0.86-4.77), p<0.001] และอาชีพพนักงานเอกชนหรือรับจ้างทั่วไป [OR=0.44 (95%CI 0.21-0.92), p<0.05]</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การศึกษาความชุกและปัจจัยเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซีอย่างต่อเนื่อง เป็นแนวทางสำคัญในการป้องกันโรค และพัฒนาระบบการตรวจคัดกรอง เพื่อให้ประชาชนที่ติดเชื้อเข้ารับการรักษาได้ทันท่วงทีและลดโอกาสการแพร่เชื้อ</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>ความชุก, ปัจจัยเสี่ยง, ไวรัสตับอักเสบซี</p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/16353
ผลของโปรแกรมกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ต่อความรู้ในกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี คลินิกคำปรึกษา แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลอุตรดิตถ์
2025-06-19T15:47:33+07:00
สมถวิล จินดา
aom.somta@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>สถานการณ์โรคเอดส์ยังคงเป็นปัญหาหลักของระบบสุขภาพในประเทศไทย ผู้ป่วยบางราย ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเอดส์ การดูแลผู้ป่วยจึงต้องมีภาคีเครือข่ายร่วมให้การดูแลผู้ป่วย ปัจจุบันโรงพยาบาลอุตรดิตถ์มีภาคีเครือข่ายในการช่วยดูแลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี โดยการทำกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ซึ่งมีแกนนำทำกิจกรรมให้ความรู้โรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยรายใหม่ โดยกิจกรรมมีการให้ความรู้ใหม่ที่ทันสมัย มีแนวทางการรักษาแบบปัจจุบัน ส่งเสริมด้านจิตใจ ช่วยเหลือด้านสังคม ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่ดี</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อเปรียบเทียบความรู้โรคเอดส์ในกลุ่มผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี ก่อนและหลังเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) รูปแบบ one-group pre and post-test แบบวัดซ้ำ โดยใช้แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวี และแบบประเมินความรู้โรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ทำการประเมินก่อนและหลังทำกิจกรรม กลุ่มสัมพันธ์จำนวน 3 ครั้ง ที่คลินิกคำปรึกษา แผนกผู้ป่วยนอก จำนวน 46 ราย วิเคราะห์ข้อมูลเชิงกลุ่มด้วย ความถี่ ร้อยละ ข้อมูลเชิงปริมาณ ด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระหว่างกลุ่ม วิเคราะห์ด้วย repeated measure ANOVA วิเคราะห์ข้อมูลความสัมพันธ์ของความรู้ทั้งสามครั้งที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน โดยใช้ multivariable multi-level analysis กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 </p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> จากกลุ่มตัวอย่าง 46 ราย พบว่าความรู้หลังการทำกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ครั้งที่ 2 เปรียบเทียบกับความรู้ก่อนทำกิจกรรม เพิ่มขึ้น 4.82 คะแนน (95%CI: 4.36-5.28) ความรู้หลังการทำกิจกรรมกลุ่มครั้งที่ 3 เปรียบเทียบกับความรู้ก่อนทำกิจกรรม เพิ่มขึ้น 6.41 คะแนน (95%CI: 5.88–6.94) คะแนนความรู้ที่เพิ่มขั้นนี้มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>ผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นประโยชน์ของกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ต่อความรู้ในการดูแลตนเองในโรคเอดส์ สามารถนำความรู้ที่ได้ไปสู่การปฏิบัติตัวในการรักษาได้ดีขึ้น เช่น เรื่องการรับประทานยาอย่างมีวินัย การมาตรวจตามนัด และการได้รับสัมพันธภาพที่ดีจากแกนนำชมรม</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> HIV, ความรู้, กิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์</p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/16434
ประสิทธิผลของการใช้สมาธิบำบัดแบบ SKT ต่อระดับความดันโลหิต ในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ตำบลเวียง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
2025-06-12T13:29:07+07:00
กาญจนา ช่าวทำนา
kchangtumna@gmail.com
เอลีชา เนาวโอภาส
kchangtumna@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>การฝึกกสมาธิบําบัดสามารถลดความเครียดและส่งผลให้ระดับความดันโลหิตลดลงได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้สมาธิบำบัดแบบ SKT 1 ต่อระดับความดันโลหิต ในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การวิจัยกึ่งทดลองชนิด 2 กลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง ศึกษาในประชากรกลุ่มเสี่ยง โรคความดันโลหิตสูง ตำบลเวียง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย กลุ่มทดลอง เป็นกลุ่มที่ใช้สมาธิบำบัดแบบ SKT 1 ส่วนกลุ่มควบคุม เป็นกลุ่มที่ได้รับคำแนะนำ และดูแลตามปกติ จำนวนกลุ่มละ 34 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย การทำสมาธิบําบัดแบบ SKT 1 คู่มือการปฏิบัติ แบบบันทึกข้อมูล แบบสอบถาม แบบประเมินความพึงพอใจ เก็บรวบรวมข้อมูลระดับความดันโลหิต ครั้งที่ 1 ก่อนการทำสมาธิบำบัด และสัปดาห์ที่ 4, 8 หลังการทำสมาธิบำบัด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Multilevel modeling repeated measure</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผลการติดตามระดับความดันโลหิต ในกลุ่มทดลอง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองมีค่า ความดันโลหิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) และภายหลังควบคุมอิทธิพลของเพศ อายุ ดัชนีมวลกาย อาชีพ ประวัติการสูบบุหรี่ ประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง พบว่าหลังการทำสมาธิบำบัดแบบ SKT 1 ระดับความดันโลหิต systolic ลดลง 1.95 mmHg และระดับความดันโลหิต diastolic ลดลง 2.35 mmHg อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.042, 0.017) และมีความพึงพอใจต่อการฝึกสมาธิบำบัดแบบ SKT 1 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 82.4 %</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การทำสมาธิบำบัดแบบ SKT 1 สามารถลดระดับความดันโลหิต systolic และ diastolic ในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงได้ ดังนั้นบุคลากรสาธารณสุข ควรแนะนำกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ฝึกสมาธิบำบัดเทคนิค SKT1 เป็นประจำ เพื่อเป็นการป้องกันและเฝ้าระวังต่อการป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงในอนาคตต่อไป</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>สมาธิบำบัดแบบ SKT, สมาธิบำบัด SKT 1, กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง, โรคความดันโลหิตสูง, ระดับความดันโลหิต</p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/16439
ผลของการใช้รูปแบบให้ความรู้และคำปรึกษาผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ออฟฟิเชียล แอคเคานท์ ในผู้ป่วยมารับบริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ โรงพยาบาลแพร่
2025-05-26T08:10:24+07:00
อุสา โปร่งใจ
prongjaiusa@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong>: โรงพยาบาลแพร่ดำเนินการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับในปี พ.ศ. 2564-2566 เกิดอุบัติการเลื่อนผ่าตัดจากผู้ป่วย ในด้านการเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด 5 ราย 6 ราย และ 6 ราย ตามลำดับ ผู้วิจัยเกิดแนวคิดการใช้รูปแบบให้ความรู้และคำปรึกษาผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ออฟฟิเชียล แอคเคานท์ในผู้ป่วยมารับบริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ มีเป้าหมายลดอัตราการเลื่อนผ่าตัด จากความไม่พร้อมของผู้ป่วย ลดภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด มีการติดตามและให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่องผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด และรับทราบข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้กระบวนการฟื้นตัวหลังผ่าตัดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการให้ความรู้และคำปรึกษาผ่านแอปพลิเคชันไลน์ออฟฟิเชียล แอคเคานท์ในผู้ป่วยมารับบริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ โรงพยาบาลแพร่</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong>: การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบ Retrospective descriptive study แบบ 2 กลุ่ม คือ ผู้ป่วยที่มารับบริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับที่ได้รับการวินิจฉัยจากศัลยแพทย์ว่าเป็นไส้เลื่อนหรือก้อนเนื้อที่เต้านม จำนวน 140 ราย กลุ่มควบคุมเป็นกลุ่มที่ได้การพยาบาลตามปกติ คือ ใช้วิธีโทรศัพท์ในการให้ความรู้และคำปรึกษา จำนวน 70 ราย กลุ่มทดลองเป็นกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลแบบใหม่ คือ ใช้แอปพลิเคชันไลน์ในการให้ความรู้และคำปรึกษาจำนวน 70 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มด้วย Independent t-test หรือ rang sum test และ exact probability test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong>: กลุ่มที่ได้รับความรู้และคำปรึกษาผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ไม่พบการงดหรือเลื่อนผ่าตัดจากความไม่พร้อมของผู้ป่วย (0%) ขณะที่กลุ่มควบคุมพบการเลื่อนผ่าตัด 6 ราย (8.6%) มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.014) ด้านผลลัพธ์หลังผ่าตัดไม่พบภาวะแทรกซ้อนในกลุ่มทดลอง (0%) แต่พบในกลุ่มควบคุม 3 ราย (4.3%) โดยไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.245)</p> <p><strong>สรุป</strong>: การนำแอปพลิเคชันไลน์มาใช้ในการให้คำปรึกษาในผู้ป่วยที่มารับบริการการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับเป็นช่องทางที่มีความสะดวก เข้าใจง่าย ผู้ป่วยสามารถสอบถามข้อมูลกับทีมสุขภาพได้โดยตรงแบบรายบุคคลได้ทุกที่ ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจมากกว่าการใช้การติดต่อสื่อสารรูปแบบเดิมไม่เกิดค่าใช้จ่ายในการติดต่อสื่อสาร</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: การใช้รูปแบบให้ความรู้และคำปรึกษา, แอปพลิเคชันไลน์, การผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ</p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/16387
ผลของการกดมดลูกส่วนล่าง นาน 8 นาที ในการคลอดปกติทางช่องคลอดเพื่อป้องกัน การตกเลือดหลังคลอดระยะแรก โรงพยาบาลลำพูน
2025-06-09T15:18:21+07:00
รุณราวรรณ์ แก้วบุญเรือง
runrawan@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>:</strong> ภาวะตกเลือดหลังคลอดระยะแรก เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของมารดาทั่วโลก การเร่งคลอดในระยะที่ 3 เป็นการป้องกันการตกเลือดหลังคลอด ที่ได้รับการยอมรับและได้ผลดี การกดมดลูกส่วนล่างเป็นวิธีการหนึ่ง ที่สามารถลดปริมาณการสูญเสียเลือดและลดอุบัติการณ์การตกเลือดหลังคลอดได้</p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลและปริมาณการสูญเสียเลือด ระหว่างกลุ่มทดลองที่ได้รับการกดมดลูกส่วนล่างนาน 8 นาที กับกลุ่มควบคุมที่ได้รับการดูแลระยะที่ 3 ของการคลอดตามปกติ</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ศึกษาระหว่างเดือน ธันวาคม 2566 ถึง มีนาคม 2567 กลุ่มตัวอย่างเป็นมารดาคลอดปกติทางช่องคลอด ห้องคลอด โรงพยาบาลลำพูน เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง จำนวน 108 ราย แบ่งเป็น 2 กลุ่มๆ ละ 54 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลระยะรอคลอดและคลอด ข้อมูลการได้รับยาหลังทารกคลอด ข้อมูลปริมาณการสูญเสียเลือด และแนวทางการกดมดลูกส่วนล่าง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Chi-Square test และ Independent t–test</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยปริมาณการเสียเลือดในระยะที่ 3 ของการคลอดน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (144.71±64.01 มิลลิลิตร vs 219.61±103.78 มิลลิลิตร p<.05) ในระยะที่ 4 ของการคลอด กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมมีค่าเฉลี่ยปริมาณการเสียเลือดไม่แตกต่างกัน (67.27±40.82 มิลลิลิตร vs 67.65±31.21 มิลลิลิตร p=.479) กลุ่มทดลองมีปริมาณการเสียเลือดทั้งหมดน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (212.96±65.61 มิลลิลิตร vs 285.49±106.06 มิลลิลิตร p<.05) กลุ่มทดลองไม่พบการตกเลือดหลังคลอด ส่วนกลุ่มควบคุมมีอัตราการตกเลือดหลังคลอด จำนวน 2 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.70</p> <p><strong>สรุป:</strong> การกดมดลูกส่วนล่าง นาน 8 นาที ในการคลอดปกติทางช่องคลอด ช่วยลดปริมาณการสูญเสียเลือดหลังคลอด และลดการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดระยะแรกได้</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> การกดมดลูกส่วนล่าง, ภาวะตกเลือดหลังคลอดระยะแรก, การดูแลตามปกติ</p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/16343
ผลของโปรแกรมการชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านวังหิน ตำบลเถินบุรี อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง
2025-05-27T13:48:52+07:00
สมศิลป์ จันทราช
phakaphan_patty@hotmail.com
ผกาพันธ์ วรรณทัศน์
phakaphan_patty@hotmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>ภาวะโรคไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease : CKD) ที่พบในผู้ป่วยเบาหวานเกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ส่งผลทำให้หลอดเลือดที่ไปทำหน้าที่เลี้ยงไตค่อย ๆ เสื่อมลงจนไตสูญเสียหน้าที่ ทำให้ไตมีอัตราการกรองของเสียลดลง (Glomerular Filtration Rate : GFR) จนเข้าสู่ภาวะไตวาย ซึ่งเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศไทย โดยเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาด จำเป็นต้องรักษาต่อเนื่อง และมีค่าใช้จ่ายสูงมากโดยเฉพาะเมื่อโรคดำเนินมาในระยะสุดท้าย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านวังหิน ตำบลเถินบุรี อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การวิจัยแบบกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรั้งในระยะที่ 2 ที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านวังหิน จำนวน 30 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย โปรแกรมการชะลอไตเสื่อม ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และแบบสอบถามความรู้และพฤติกรรมเสี่ยงเกี่ยวกับโรคไตวาย วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา และ paired t-test</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ระดับความรู้ พฤติกรรมเสี่ยง และค่าปริมาณของสารโปรตีนอัลบูมินในปัสสาวะ หลังการทดลองดีกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value <0.001) โดยผลการศึกษาด้านความรู้ พบว่า ก่อนการทดลอง ส่วนใหญ่มีความรู้อยู่ในระดับปานกลาง ร้อยละ 53.34 คะแนนเฉลี่ยความรู้เท่ากับ 7.87 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.97 หลังการทดลอง พบว่า มีความรู้อยู่ในระดับสูงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 73.33 คะแนนเฉลี่ยความรู้เท่ากับ 10.00 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.56 ระดับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตวาย พบว่า ก่อนการทดลองส่วนใหญ่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตวายอยู่ในระดับเสี่ยงสูงมากที่สุด ร้อยละ 56.67 คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตวาย เท่ากับ 15.80 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 4.18 หลังการทดลอง พบว่า มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตวาย อยู่ในระดับเสี่ยงปานกลาง ร้อยละ 60.00 คะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตวาย เท่ากับ 12.20 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 3.93 และระดับค่าปริมาณของสารโปรตีนอัลบูมินในปัสสาวะ พบว่า ก่อนการทดลองส่วนใหญ่ตรวจไม่พบโปรตีน มากที่สุดร้อยละ 60.00 และหลังการทดลอง พบว่า ส่วนใหญ่ตรวจไม่พบโปรตีนเช่นกัน มากที่สุด ร้อยละ 70.00</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>ผลของโปรแกรมการชะลอไตเสื่อมในผู้ป่วยโรคเบาหวาน เขตโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านวังหิน ตำบลเถินบุรี อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง</p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/16464
ผลของการใช้ค่าดัชนีเกณฑ์การตัดสิน (cut off index)ของการตรวจ Anti-HCV เพื่อทำนายการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดซี ของโรงพยาบาลแพร่
2025-06-23T08:21:46+07:00
สุวพรรณ ลัภยวิจิตร
suwapans26@hotmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C virus)) เป็นเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเฉียบพลันและเรื้อรัง เป็นสาเหตุหลักของการเกิดมะเร็งตับ การตรวจ Anti HCV มีโอกาสตรวจพบผลบวกปลอมสูง จึงต้องตรวจยืนยันการติดเชื้อโดยการตรวจหา HCV-RNA Viral Load ซึ่งต้นทุนราคาแพง จึงนำการตรวจ HCV core Ag ที่ตรวจวิเคราะห์ง่าย ราคาถูก มาทดแทน การศึกษาค่า COI ของการตรวจ Anti-HCV ประเมินความสัมพันธ์ของ COI การตรวจ HCV core Ag กับ HCV-RNA Viral Load จะช่วยวางแผนการดูแลรักษาผู้ป่วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>ศึกษาผลการใช้ค่า COI การตรวจ Anti- HCV ทำนายผลการติดเชื้อในผู้ป่วย ประเมิน COI ของการตรวจ HCV core Ag และความสัมพันธ์กับระดับ HCV-RNA Viral Load </p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>Cross-sectional Analytical Study ศึกษาผลการใช้ค่า COI การตรวจ Anti-HCV เพื่อทำนายผลการติดเชื้อในผู้ป่วย 74 ราย ประเมินความสัมพันธ์ของ COI ของ HCV-core Ag กับระดับ HCV-RNA Viral Load ในผู้ป่วย 50 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>ผู้ป่วยที่มี Anti-HCV ให้ผลบวก 74 ราย ตรวจพบเชื้อโดยวิธี HCV-RNA Viral Load 62 ราย ไม่พบ 12 ราย ทำนายการติดเชื้อโดยเรียง subset COI จากน้อยไปมาก มีผู้ป่วยที่ COI น้อยกว่า 10.88 ไม่พบเชื้อไวรัสในกระแสเลือด ค่า COI ผลการตรวจ HCV Core Ag และ HCV-RNA Viral Load ในผู้ป่วย 50 ราย พบผลบวกทั้ง HCV Core Ag และ HCV RNA 16 ราย พบเฉพาะ HCV Core Ag แต่ไม่พบ HCV RNA 5 ราย โดยผู้ป่วยทั้ง 5 ราย มีช่วงการอ่านค่า COI เข้าใกล้ค่า cutoff ผลบวก HCV Core Ag 16 ราย จากกลุ่มศึกษา 50 ราย คิดเป็นร้อยละ 32.0 ไม่จำเป็นต้องส่งตรวจหา HCV RNA ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงร้อยละ 32 วิเคราะห์ความสัมพันธ์ หาค่าความแม่นยำทางคลินิกโดยใช้ Area Under the Receiver Operating Characteristics (AUROC) มีค่าพื้นที่ใต้โค้ง 0.840 อยู่ในเกณฑ์ดี แสดงว่าทั้งสองวิธีที่ศึกษามีความแม่นยำและความถูกต้องสอดคล้องกัน</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>: </strong>การใช้ค่า COI ของการตรวจ Anti-HCV มาเป็นค่าอ้างอิงเพื่อลดการส่งตรวจ HCV-RNA Viral Load ควรรายงานค่า COI ควบคู่ไปกับการรายงานผลตรวจ เพื่อใช้ติดตามดูแลรักษาผู้ป่วยและผลการตรวจ HCV Core Ag ที่ให้ผลบวกสามารถยืนยันการติดเชื้อ แทนการตรวจ HCV-RNA Viral Load ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยและรักษาโรคได้รวดเร็วมากขึ้น ทำให้ต้นทุนค่าใช้จ่ายลดลงร้อยละ 32</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>Anti-HCV, HCV core Ag, HCV-RNA Viral Load, cut off index (COI), AreaUnder the Receiver Operating Characteristic (AUROC)</p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/16505
ผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพร่วมกับการติดตามด้วยแอพพลิเคชั่นไลน์ ในบุคลากรที่มีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โรงพยาบาลแพร่
2025-07-03T08:52:47+07:00
สุภาภรณ์ คำแวง
ppichai10@gmail.com
ณปภัช กันสม
ppichai10@gmail.com
ปิยธิดา พิชัย
ppichai10@gmail.com
อรพรรณ สิงห์อุต
ppichai10@gmail.com
<p><strong>บทนำ</strong><strong>: </strong>ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อหลอดเลือดแดงแข็ง การมีโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพร่วมกับการติดตามด้วยแอปพลิเคชั่นไลน์ ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมสุขภาพ จะช่วยส่งเสริมให้บุคลากรมีพฤติกรรมสุขภาพเหมาะสมและลดระดับไขมันในเลือดให้ได้ตามเป้าหมาย</p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพร่วมกับการติดตามด้วยแอพพลิเคชั่นไลน์ ในบุคลากรที่มีภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ โรงพยาบาลแพร่</p> <p><strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>: </strong>การศึกษาแบบกึ่งทดลอง ติดตามผล 3 และ 6 เดือน กลุ่มตัวอย่าง คือ บุคลากรโรงพยาบาลแพร่ ที่มีไขมันชนิดแอลดีแอลสูงมากกว่า 130 mg/dl หรือไตรกลีเซอไรด์มากกว่าหรือเท่ากับ 150 mg/dl จำนวน 74 ราย กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพร่วมกับ การติดตามด้วยแอพพลิเคชั่นไลน์ กลุ่มควบคุมได้รับคำแนะนำและดูแลตามปกติ วิเคราะห์ผลของโปรแกรมฯ ด้วย Multilevel modeling repeated measure</p> <p><strong>ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>โปรแกรมฯ ช่วยลดระดับไขมัน Triglyceride ได้ 22.25 mg/dl และลดระดับไขมันได้ LDL 9.79 mg/dl (p=0.263, 0.095) โดยมีแนวโน้มลดลงในเดือนที่ 3 และ 6 อย่างต่อเนื่อง</p> <p><strong>สรุป</strong><strong>:</strong> บุคลากรที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง ควรได้รับโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพร่วมกับการติดตามด้วยแอพพลิเคชั่นไลน์ เนื่องจากการศึกษานี้ พบว่าสามารถช่วยลดระดับไขมัน Triglyceride และ LDL ในเลือดได้</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>โปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ, ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ, แอพพลิเคชั่นไลน์</p> <p> </p>
2025-08-01T00:00:00+07:00
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences