(PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
https://thaidj.org/index.php/jpph
<p>เป็นวารสารวิชาการทางด้านการแพทย์ วิทยาศาสตร์ทางคลินิก และสาธารณสุขและสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นสื่อกลางเผยแพร่ แลกเปลี่ยนความคิดผลงานวิชาการระหว่างหน่วยงานภายในและภายนอกได้แก่ นิพนธ์ต้นฉบับ บทความปริทัศน์ รายงานผู้ป่วย บทความพิเศษ เป็นต้น</p> <p> </p>
โรงพยาบาลแพร่ กระทรวงสาธารณสุข
th-TH
(PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
2985-2420
-
การเปรียบเทียบผลของแรงเฉือนบนพื้นผิวที่แตกต่างกันของแบร็กเกตที่ใช้ในงานทันตกรรมจัดฟัน
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/15541
<p><strong>บทนำ :</strong> การยึดติดเครื่องมือทางทันตกรรมจัดฟันจะใช้แบร็กเกตยึดติดกับบนผิวเคลือบฟัน ปัจจุบันนี้มีการพัฒนารูปแบบของแบร็กเกตให้สามารถยึดกับผิวเคลือบฟันได้ดีขึ้น และอยู่คงทนตลอดการรักษา เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาทางทันตกรรมจัดฟัน<br /><strong>วัตถุประสงค์ :</strong> เปรียบเทียบฐานแบร็กเกตที่มีขนาดเท่ากัน แต่ลักษณะแตกต่างกันระหว่าง monoblock และ mesh ว่ามีผลต่อการยึดติดแบบเฉือนหรือไม่ <br /><strong>วิธีการศึกษา :</strong> นำแบร็กเกตที่มีขนาดเท่ากันแต่ฐานแตกต่างกัน มาจำนวน 20 ชิ้น แบ่งเป็น monoblock 10 ชิ้น และ mesh 10 ชิ้น ยึดติดด้วย resin composite ชนิดเดียวกันวางชิ้นงานลงในแบบวงแหวนที่เตรียมไว้เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 ซม. ทดสอบแรงเฉือนด้วยเครื่อง Universal testing machines โดยนำชิ้นทดลองวางขนานกับใบมีด โดยความเร็วใบมีด คือ 1 มม.ต่อนาที ให้แรงเฉือนจนแบร็กเกตหลุดออกแล้วบันทึกผล<br /><strong>ผลการศึกษา :</strong> ฐานแบบ monoblock มีแรงเฉือนเท่ากับ 45.98 MPa ขณะที่ mesh มีค่าเท่ากับ 31.7 MPa แรงยึดเฉือนระหว่างฐานทั้ง 2 แบบ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<br /><strong>สรุป :</strong> แรงเฉือนบนพื้นผิวที่แตกต่างกันของแบร็กเกตชนิด monoblock และ mesh มีค่าไม่ แตกต่างกัน<br /><strong>คำสำคัญ :</strong> การทดสอบแรงเฉือน, พื้นผิวของแบร็กเกตโลหะ</p>
เนตรพร กิจอุดม
ธนกฤต หอวรรณภากร
ชนกานต์ จินดาโรจนกุล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
2025-01-31
2025-01-31
32 2
1
7
-
ประสิทธิผลของโปรแกรมการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ คลินิกผู้ป่วยนอกปฐมภูมิ โรงพยาบาลแพร่
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/15646
<p><strong>บทนำ:</strong> ความดันโลหิตสูงที่ควบคุมไม่ได้ เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นสาเหตุ ของการเสียชีวิต การวัดความดันโลหิตที่บ้านช่วยให้ผู้ป่วยทราบการเปลี่ยนแปลงความดันโลหิต ช่วยกระตุ้นเตือนการดูแลตนเอง และสามารถควบคุมค่าความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายต่อชีวิต<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้านในผู้ป่วยโรคความดันโลหิต สูงที่ควบคุมไม่ได้ <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง ชนิดกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง ศึกษาในผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง ที่มารับบริการที่คลินิกผู้ป่วยปฐมภูมิ โรงพยาบาลแพร่ ระหว่างเดือน กุมภาพันธ์ ถึงพฤษภาคม พ.ศ. 2567 คำนวณขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรม G*Power 3.1.4 ขนาดอิทธิพลเท่ากับ 0.50 ได้กลุ่มตัวอย่าง 30 คน เครื่องมือได้แก่โปรแกรมการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน แบบสอบถาม และแบบบันทึกความดันโลหิต วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาวิเคราะห์หาความแตกต่าง ด้วยสถิติ paired t-test<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผลการเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยคะแนนการรับรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเองภายหลังการเข้า ร่วมโปรแกรมฯ สูงกว่าก่อนการเข้าร่วมโปรแกรมฯ (ค่าเฉลี่ย 14.33±4.23, 17.93±2.88 และ 27.4±3.79, 31.66±6.37) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <0.001 ผลการเปรียบเทียบ SBP, DBP ของผู้ป่วย ก่อนและหลังการได้รับโปรแกรมฯ(ค่าเฉลี่ย 149.97± 5.97/93.57± 10.77 และ 126.57± 6.79/78.17±10.08) แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ <0.001<br /><strong>สรุป:</strong> โปรแกรมการวัดความดันโลหิตด้วยตนเองที่บ้าน ช่วยให้ผู้ป่วยควบคุมระดับความดันโลหิตได้ ดังนั้นควรนำโปรแกรมนี้ไปใช้กับผู้ป่วยที่ได้รับยาลดความดันโลหิต <br /><strong>คำสำคัญ:</strong> การวัดความดันโลหิตด้วยตนเอง, การวัดความดันโลหิตที่บ้าน, โรคความดันโลหิต, ความดันโลหิตสูงควบคุมไม่ได้</p>
ขณิตา กรณ์ธารกุล
เกตแก้ว นิธิกรโกศล
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
2025-01-31
2025-01-31
32 2
8
19
-
การใช้ Machine learning เพื่อทำนายพาหะแอลฟ่าธาลัสซีเมียในหญิงตั้งครรภ์ที่มาฝากครรภ์กับโรงพยาบาลแพร่
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/15781
<p><strong>บทนำ:</strong> การตรวจคัดกรองพาหะแอลฟ่าธาลัสซีเมียเบื้องต้น ใช้ค่า MCV < 80 fl และ DCIP test ให้ผลpositive ซึ่งมีความแม่นยำต่ำ ปัจจุบันมีการใช้ Machine learning (ML) ช่วยในการคัดกรองซ้ำมากขึ้น <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อสร้างและค้นหาแบบจำลองที่ดีที่สุดของ Machine learning ที่ให้ประสิทธิภาพดีที่สุดในการทำนายพาหะแอลฟ่าธาลัสซีเมียในหญิงตั้งครรภ์ <br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาแบบ Diagnostic research รวบรวมข้อมูลแบบ cross-sectional จากข้อมูลหญิงตั้งครรภ์และสามี ตั้งแต่ปี 2557-2566 จำนวน 592 คู่ 1184 ราย เลือกข้อมูล จำนวน 161 ราย alpha-thal trait vs non alpha-thal trait (66 : 95) ใช้ค่าการตรวจเม็ดเลือดแดงพื้นฐาน HCT, HGB, RBC, MCV, MCH, MCHC, RDW และอายุ AGE สร้างแบบจำลอง ML algorithms ให้เครื่องคอมพิวเตอร์เรียนรู้และทำนาย ด้วยภาษา Python ในโปรแกรม Google colab แสดงประสิทธิภาพของแบบจำลองด้วยค่า accuracy (ACC), sensitivity (Sn), specificity (Sp), area under ROC curve (AUC) <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่าชุด dataset ที่ศึกษา (66:95) แบ่งข้อมูล train: test set (80:20) ML ให้ประสิทธิภาพ ในการทำนายพาหะแอลฟ่าธาลัสซีเมีย โดยมีค่า ACC, Sn, Sp, AUC ดังนี้ DT: 97,100,95,0.9643, RF: 97,100,95,1.0000 ADA: 97,100,95,0.9737 XGB: 97,100,95,0.9699 LR: 97,100,95,0.9963 DL: 93.9,100,90.5,0.9774 และ SVM: 97,100,95,1.0000 <br /><strong>สรุป:</strong> แบบจำลองที่ให้ประสิทธิภาพดีที่สุด คือ ADA ให้ความถูกต้องในการทำนายสูงถึง 97% สามารถลดค่าใช้จ่ายการตรวจยืนยันด้วยวิธี PCR ในรายที่ผลทำนายเป็น non alpha thalassemia carrier ได้<br /><strong>คำสำคัญ:</strong> การเรียนรู้ของเครื่อง, พาหะแอลฟ่าธาลัสซีเมีย, กูเกิ้ล โคแลป, หญิงตั้งครรภ์</p>
ประเสริฐ จันทนสกุลวงศ์
ธนวัฒน์ชัย สุริยะ
สกุลรัตน์ อริยะเพชร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
2025-01-31
2025-01-31
32 2
20
28
-
การเปรียบเทียบความแม่นยำในการฉีดยาเข้าข้อเข่าด้วยวิธีการฉีดทางด้านหน้าเฉียงในกับเทียบกับวิธีฉีดทางด้านหน้าเฉียงในโดยใช้แท่งโลหะช่วยระบุตำแหน่งปลายเข็ม
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/15865
<p><strong>บทนํา:</strong> การฉีดยาเข้าข้อเข่ามีเทคนิคหลากหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีมีระดับความแม่นยำที่แตกต่างกัน ความแม่นยำในการฉีดยาเข้าข้อเข่ามีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของการรักษา การฉีดยาที่มีความแม่นยำสูงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> พัฒนาวิธีการฉีดยาเข้าข้อเข่าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการรักษา ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มผลลัพธ์ที่ดีขึ้นสำหรับผู้ป่วย<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบสุ่มแบบเปิดและมีกลุ่มควบคุม (Open-Labeled Randomized Controlled Trial, RCT) โดยแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก 65 คนได้รับการฉีดยาเข้าข้อเข่าด้วยวิธีฉีดทางด้านหน้าเฉียงใน (anteromedial approach) และกลุ่มที่สอง 65 คน ได้รับการฉีดยาด้วยวิธีเดียวกัน แต่ใช้แท่งโลหะช่วยระบุตำแหน่งปลายเข็ม (anteromedial with K-wire) อัตราความแม่นยำในการฉีดยาวัดจากผลการตรวจด้วย x-ray air-arthrogram นอกจากนี้ ยังมีการเปรียบเทียบระดับความเจ็บปวดระหว่างสองกลุ่มโดยใช้คะแนนความเจ็บปวด (pain score)<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> การศึกษาพบว่าวิธีฉีดยาแบบ anteromedial มีความแม่นยำ 89.2% (58/65) ขณะที่วิธี anteromedial with K-wire มีความแม่นยำ 98.5% (64/65) ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.03) ที่ effect size(OR) 0.129 95% CI (0.015, 1.084) ส่วนระดับความเจ็บปวด (pain score) ของทั้งสองกลุ่มอยู่ที่ 4.5 และ 4.2 ตามลำดับ ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ<br /><strong>สรุป:</strong> การฉีดยาเข้าข้อเข่าด้วยวิธี anteromedial with K-wire ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการฉีดยาได้และไม่ส่งผลต่อความรู้สึกเจ็บปวดของผู้ป่วยเมื่อเปรียบเทียบกับวิธี anteromedial approach แบบปกติ<br /><strong>คําสําคัญ:</strong> การฉีดยาเข้าข้อเข่า, anteromedial approach, K-wire</p> <p> </p>
ยศวัจน์ ตั้งตรงจิตร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
2025-01-31
2025-01-31
32 2
29
37
-
ผลการประยุกต์ใช้แนวคิดลีนกับการพัฒนาระบบการให้บริการผ่าตัด แบบวันเดียวกลับ (One Day Surgery) โรงพยาบาลแพร่
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/15896
<p><strong>บทนำ:</strong> จากแผนยุทธศาสตร์ด้านสาธารณสุข มีนโยบายให้มีการพัฒนาระบบบริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับขึ้น โรงพยาบาลแพร่จึงได้พัฒนาระบบบริการดังกล่าวขึ้น แต่ยังพบปัญหาขั้นตอนการทำงานมากเกินความจำเป็น ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการทำงาน<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อค้นหาความสูญเปล่าในกระบวนการทำงานโดยใช้แนวคิดลีนกับการพัฒนาระบบการ<br />ให้บริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ โรงพยาบาลแพร่<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> เป็นการศึกษาแบบไปข้างหน้า (Prospective designs) ศึกษาในโรงพยาบาลแพร่ ในกลุ่มผู้ป่วย<br />ผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ ในโรงพยาบาลแพร่ ตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2564 ถึง กรกฎาคม 2564<br />โดยใช้แนวคิดลีนการวิเคราะห์ความสูญเปล่าในกระบวนการทำงาน และออกแบบกระบวนการ<br />ใหม่เปรียบเทียบก่อน–หลัง ตาม case record form ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมาเอง รวบรวมข้อมูล<br />โดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย <br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยที่เข้ารับบริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ มีทั้งหมด 73 ราย ประกอบด้วยผู้ป่วยไส้เลื่อนขาหนีบจำนวน 48 ราย อายุเฉลี่ย 58.63 ปี ส่วนใหญ่ American Society of Anesthesiologist classification (ASA) 2 (ร้อยละ 58.90) ผู้ป่วยก้อนที่เต้านมจำนวน 25 ราย อายุเฉลี่ย 44.64 ปี ส่วนใหญ่ ASA class 1 (ร้อยละ 60) สามารถลดระยะเวลารอคอยในวันผ่าตัด จาก 65 นาที เหลือ 45 นาที ส่วนจำนวนผู้ป่วยที่ไม่ได้รับยากลับบ้านและผู้ป่วยที่เรียกเก็บเงินเกินกำหนดเวลา 3 วัน จากเดิมพบ 1 ราย มาเป็นไม่พบอุบัติการณ์ รวมถึงจำนวนก้าวเดินที่ใช้ในระบบจัดเก็บเอกสารของพยาบาลผู้จัดการรายกรณี จาก 78 ก้าว เหลือ 2 ก้าว และไม่พบภาวะแทรกซ้อนหลังผ่าตัด ทั้งด้านการผ่าตัดและด้านวิสัญญี บุคลากรมีระดับความพึงพอใจมากต่อการให้บริการคิดเป็นร้อยละ 88.16 และผู้ป่วยมีความพึงพอใจระดับมากที่สุดต่อการให้บริการคิดเป็นร้อยละ 90.2 <br /><strong>สรุป:</strong> การนำแนวคิดลีนมาใช้ในการพัฒนากระบวนการให้บริการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับทำให้ทั้งผู้ป่วยลดระยะเวลา รอคอย ลดขั้นตอนการคัดกรองที่ซ้ำซ้อนในจุดที่แออัดในวันผ่าตัด และเพิ่มคุณค่าการตรวจสอบเอกสารและสิ่งนำส่งไปกับผู้ป่วยก่อนส่งหอผู้ป่วย ผู้ป่วยมีความพึงพอใจระดับมากที่สุดต่อบริการ<br /><strong>คำสำคัญ:</strong> แนวคิดลีน, ผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ, การให้บริการการผ่าตัด</p>
นงเยาว์ ธราวรรณ
อุษา โปร่งใจ
ปิยะฉัตร กาศแสวง
พรพนิต ผุดเพชรแก้ว
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
2025-01-31
2025-01-31
32 2
38
47
-
ผลของการใช้แนวปฏิบัติการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนภาวะวิกฤตทารกแรกเกิดในหอผู้ป่วยบริบาลทารกแรกเกิด โรงพยาบาลแพร่
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/15912
<p><strong>บทนำ:</strong> การใช้แนวปฏิบัติการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนภาวะวิกฤตทารกแรกเกิดในหอผู้ป่วยบริบาลทารกแรกเกิดช่วยให้ประเมินผู้ป่วยก่อนเข้าสู่ภาวะวิกฤตได้อย่างถูกต้องเหมาะสม จะช่วยลดอุบัติการณ์การย้ายห้องไอซียู โดยไม่ได้วางแผนได้ <br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลของการใช้แนวปฏิบัติการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนภาวะวิกฤตทารกแรกเกิด ในหอผู้ป่วยบริบาลทารกแรกเกิด โรงพยาบาลแพร่<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัย Historical control design แบบ 2 กลุ่ม เปรียบเทียบวัดก่อนและหลังการทดลอง ในหอผู้ป่วยบริบาลทารกแรกเกิด โรงพยาบาลแพร่ โดยใช้แนวปฏิบัติการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนภาวะวิกฤตทารกแรกเกิด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ ผู้ป่วยทารกแรกเกิดที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยบริบาลทารกแรกเกิด โรงพยาบาลแพร่ จำนวณ 368 ราย กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามแนวปฏิบัติเดิม เก็บข้อมูลย้อนหลัง 202 ราย กลุ่มทดลองได้รับการพยาบาลตามแนวปฏิบัติการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนภาวะวิกฤตทารกแรกเกิด 166 ราย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มด้วย T-Test หรือ Rank sum test, Exact probability test และ logistic regression<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> ในกลุ่มที่ได้รับแนวปฏิบัติการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนภาวะวิกฤตทารกแรกเกิดมีอัตราการย้าย ห้องไอซียู น้อยกว่ากลุ่มที่ใช้แนวปฏิบัติเดิมเมื่อปรับความแตกต่างของอายุครรภ์และน้ำหนักทารกเมื่อแรกรับที่แตกต่างกัน พบว่าการใช้แนวทางปฏิบัติการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนภาวะวิกฤตทารกแรกเกิดสามารถลดการย้ายห้องไอซียู โดยไม่ได้ว่างแผนได้ร้อยละ 88<br /><strong>สรุป:</strong> การใช้แนวปฏิบัติการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนภาวะวิกฤตทารกแรกเกิดในหอผู้ป่วยบริบาลทารกแรกเกิดช่วยลดอุบัติการณ์การย้ายห้องไอซียู โดยไม่ได้ว่างแผนได้ ควรนำแนวปฏิบัติการเฝ้าระวังสัญญาณเตือนภาวะวิกฤตทารกแรกเกิดมาใช้<br /><strong>คำสำคัญ:</strong> ทารกแรกเกิด, สัญญาณเตือนภาวะวิกฤตทารกแรกเกิด, การย้ายเข้าไอซียูโดยไม่ได้วางแผน</p>
สัญญาลักษณ์ สุทธนะ
กุลภัสสร์ ลิ้มสมุทรเพชร
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
2025-01-31
2025-01-31
32 2
48
58
-
การรักษาโรคนิ่วในไตด้วยวิธีการเจาะไตผ่านผิวหนังในท่านอนตะแคงร่วมกับการใช้อัลตราซาวด์ในการเข้าหาตำแหน่งนิ่ว โรงพยาบาลแพร่ ปี 2553-2567
https://thaidj.org/index.php/jpph/article/view/15938
<p><strong>บทนำ: นิ่</strong>วในไตเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ การรักษานิ่วในไตที่มีขนาดใหญ่ในปัจจุบันแนะนำให้ใช้วิธีการเจาะไตผ่านผิวหนัง (Percutaneous Nephrolithotomy, PCNL) ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูง<br /><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อประเมินผลของการรักษานิ่วไตด้วยวิธี PCNL ในท่านอนตะแคงร่วมกับการใช้อัลตราซาวด์ในการเข้าหาตำแหน่งนิ่วที่โรงพยาบาลแพร่<br /><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาย้อนหลังเชิงพรรณา (Retrospective Descriptive Study) กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโดยวิธี PCNL ในท่านอนตะแคงที่โรงพยาบาลแพร่ระหว่างปี พ.ศ. 2553 ถึง 2567 จำนวน 171 คน รวบรวมข้อมูลทั่วไปของผู้ป่วย ลักษณะของนิ่ว และผลการรักษา วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา<br /><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ร้อยละ 70.18 มีอายุเฉลี่ย 56.10±9.07 ปี นิ่วที่พบมากที่สุด คือ นิ่ว Partial Staghorn ร้อยละ 38.01 ระยะเวลาการผ่าตัดเฉลี่ย 67.33±35.48 นาที และระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลเฉลี่ย 8.72±4.44 วัน อัตราการกำจัดนิ่วได้อย่างสมบูรณ์ (Stone-free rate) ร้อยละ 51.46 โดยนิ่วที่กำจัดได้อย่างสมบูรณ์มากที่สุด คือ นิ่วที่ตำแหน่ง UPJ ร้อยละ 94.12 และ Pelvic Stone ร้อยละ 74.47 <br /><strong>สรุป:</strong> การทำ PCNL ในท่านอนตะแคงร่วมกับการใช้อัลตราซาวด์ในการเข้าหาตำแหน่งนิ่ว เป็นวิธีการรักษานิ่วในไตที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย แม้ว่าจะมีข้อจำกัดในการรักษานิ่วประเภท Partial staghorn และ Staghorn แต่ผลลัพธ์โดยรวมยังคงอยู่ในระดับที่น่าพอใจ <br /><strong>คำสำคัญ:</strong> โรคนิ่วในไต, การเจาะไตผ่านผิวหนัง, ท่านอนตะแคง, การใช้อัลตราซาวด์นำทาง<br /><br /></p>
อลงกรณ์ ไชยกลาง
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 (PMJCS) Phrae Medical Journal and Clinical Sciences
2025-01-31
2025-01-31
32 2
59
70