https://thaidj.org/index.php/smj/issue/feed Region 3 Medical and Public Health Journal - วารสารวิชาการแพทย์และสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 3 2025-01-30T14:40:14+07:00 วานิสกร ยิ่งกำแหง r3medjournal@spr.go.th Open Journal Systems <p> </p> <table> <tbody> <tr> <td width="149"> <p>ชื่อวารสาร </p> </td> <td width="467"> <p>วารสารวิชาการแพทย์และสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 3</p> </td> </tr> <tr> <td width="149"> <p>ชื่อภาษาอังกฤษ</p> </td> <td width="467"> <p>Region 3 Medical and Public Health Journal</p> </td> </tr> <tr> <td width="149"> <p>ชื่อย่อวารสาร</p> </td> <td width="467"> <p>R3 Med PHJ</p> </td> </tr> <tr> <td width="149"> <p>วัตถุประสงค์ </p> </td> <td width="467"> <p>เผยแพร่ผลงานทางวิชาการของบุคลากรทางการแพทย์ และสาธารณสุข เพื่อส่งเสริมการศึกษาวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข</p> </td> </tr> <tr> <td width="149"> <p>กำหนดการออก</p> </td> <td width="467"> <p>ปีละ 4 ฉบับ (มกราคม-มีนาคม, เมษายน-มิถุนายน, กรกฎาคม-กันยายน,ตุลาคม-ธันวาคม) ของทุกปี</p> </td> </tr> </tbody> </table> <p> ISSN 2774-0579 (Online)</p> <p> ISSN 2821-9201 (Print) </p> <p>ค่าธรรมเนียมสำหรับการตีพิมพ์ 3000 บาท</p> <p>**กรณีมีความประสงค์จะให้มีการประเมินบทความโดยผู้ทรงคุณวุฒิ (reviewer) จำนวน 3 ท่าน จะมีค่าธรรมเนียมสำหรับการตีพิมพ์ 4,000 บาท</p> <p>**วารสารวิชาการแพทย์และสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 3 มีกระบวนการการประเมินบทความ โดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิประเมินคุณภาพบทความ 2 ท่าน อย่างไรก็ตามถ้าผลการประเมินไม่ได้ข้อสรุปอย่างชัดเจน ทางวารสารฯอาจมีกระบวนการเชิญผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความเพิ่มเติมตามความเหมาะสม ซึ่งมีความจำเป็นต้องเก็บค่าธรรมเนียมเพิ่ม 1000 บาท (เพิ่มเติมจากที่ประกาศเดิม)</p> <p>โดยโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาถนนสวรรค์วิถี เลขที่บัญชี 633-0-58182-7</p> <p>ชื่อบัญชี วารสารวิชาการแพทย์และสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 3</p> <p>ผู้ส่งบทความต้องชำระค่าธรรมเนียมก่อนที่ทางวารสารจะดำเนินการพิจารณาบทความ ทั้งนี้ถ้าบทความ <strong>“ถูกปฏิเสธการตีพิมพ์ (Rejected)”</strong> <strong>กองบรรณาธิการจะไม่คืนเงินค่าธรรมเนียมให้กับผู้นิพนธ์ในทุกกรณี</strong></p> <p>วารสารวิชาการแพทย์และสาธารณสุข เขตุสุขภาพที่ 3 จัดทำขึ้นเพื่อเป็นช่องทางให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขเผยแพร่องค์ความรู้และผลงานทางวิชาการ ไม่ได้จัดทำขึ้นเพื่อแสวงหาผลกำไร ค่าธรรมเนียมที่วารสารจัดเก็บมีไว้เพื่อดำเนินกระบวนการพิจารณาบทความเท่านั้น</p> <p> </p> https://thaidj.org/index.php/smj/article/view/16231 A Case Report of a New Emerging Subtype of Rhabdomyosarcoma : Epithelioid and Spindle Cell Variant with Aggressive Behavior 2025-01-21T10:45:52+07:00 Noppon Chad-Udompan noppon.chad@gmail.com <p> Rhabdomyosarcoma is a rare malignant mesenchymal neoplasm characterized by immature skeletal muscle differentiation. Among its various subtypes, the newly emerging epithelioid and spindle cell rhabdomyosarcoma represents a rare and distinct entity with unique histopathological, immunohistochemical, and molecular features. This case report highlights a 21-year-old male patient diagnosed with this rare subtype, emphasizing the pathological findings, differential diagnosis, prognosis, and potential therapeutic implications.</p> 2025-03-04T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Region 3 Medical and Public Health Journal - วารสารวิชาการแพทย์และสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 3 https://thaidj.org/index.php/smj/article/view/16125 อุบัติการณ์และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะแคลเซียม ในเลือดต่ำหลังการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกทั้งหมด 2024-12-20T13:32:14+07:00 อัญชลี ชนินทร์วณิชย์ a17chanin@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาอุบัติการณ์และปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำหลังการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกทั้งหมด ที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> ทำการศึกษาแบบย้อนหลังเชิงพรรณนา โดยทบทวนเวชระเบียนผู้ป่วยใน บันทึกการผ่าตัด และรายงานผลพยาธิวิทยา ของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกทั้งหมด ที่แผนกโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ในช่วงระหว่าง 1 ตุลาคม พ.ศ.2561-30 กันยายน พ.ศ.2566 โดยบันทึกข้อมูลพื้นฐาน ระยะเวลาการผ่าตัด ปริมาณการเสียเลือดระหว่างผ่าตัด ผลทางพยาธิวิทยาของชิ้นเนื้อหลังผ่าตัด จำนวนต่อมพาราไทรอยด์ที่ติดมากับต่อมไทรอยด์ที่ผ่าตัด ฮอร์โมนแคลเซียมหลังการผ่าตัดที่ 24-48 ชม. และการติดตามผู้ป่วยที่ได้รับแคลเซียมทดแทนหลังผ่าตัดอย่างน้อย 6 เดือน โดยใช้สถิติในการหาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆ กับการเกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำหลังการผ่าตัดแบบตัวแปรเดียวโดยใช้ Chi-square และ นำตัวแปรที่พบความสัมพันธ์มาหาความสัมพันธ์แบบหลายตัวแปรพร้อมกัน กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ <em>p</em>-value น้อยกว่า 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยทั้งหมด 177 ราย พบว่าเป็นมะเร็งไทรอยด์ร้อยละ 62.2 พบผู้ป่วยมีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำหลังการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกทั้งหมดร้อยละ 72.3 เป็นภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำแบบถาวรร้อยละ 63.3 โดยพบว่าผู้ที่ผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกทั้งหมดในครั้งเดียวมีโอกาสพบภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำมากกว่าผู้ที่ผ่าตัดแบบ 2 ครั้ง ระยะเวลาการผ่าตัด การพบต่อมพาราไทรอยด์ 1-2 ต่อมในชิ้นเนื้อที่ผ่าตัด และระดับแคลเซียมในเลือดหลังผ่าตัดวันที่ 1 น้อยกว่า 8.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร มีความสัมพันธ์กับการเกิด ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำแบบมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value 0.02 ,0.01, &lt;0.01 ตามลำดับ)</p> <p><strong>สรุป:</strong> ระยะเวลาในการผ่าตัด การพบพบต่อมพาราไทรอยด์ 1-2 ต่อม ในชิ้นเนื้อที่ผ่าตัด หรือระดับแคลเซียมในเลือดหลังการผ่าตัดวันที่ 1 น้อยกว่า 8.5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำหลังผ่าตัด</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ, การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ออกทั้งหมด <br /><br /></p> 2025-03-03T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Region 3 Medical and Public Health Journal - วารสารวิชาการแพทย์และสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 3 https://thaidj.org/index.php/smj/article/view/15852 ความสัมพันธ์ระหว่างผลตรวจยีน BRCA กับ CA15-3 และ CA 125 ในผู้ป่วยโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ 2024-11-21T14:59:07+07:00 วิมลสิริ ชนะตรีรัตนพันธุ์ kae_0620@hotmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างผลตรวจยีน BRCA กับสารบ่งชี้มะเร็ง CA 15-3 และ CA 125 ในผู้ป่วยโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> ศึกษาวิจัยเชิงพรรณนา รวบรวมข้อมูลผลตรวจยีน BRCA ผลตรวจสารบ่งชี้มะเร็ง CA 15-3 และ CA 125 ของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่มีความเสี่ยงสูงและญาติสายตรงที่มีประวัติครอบครัวตรวจพบยีนกลายพันธุ์ BRCA จำนวน 69 ราย ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2566 ถึง 31 กรกฎาคม 2567 บันทึกข้อมูลโดยใส่ลำดับที่แทนข้อมูลส่วนบุคคล วิเคราะห์ค่าเปอร์เซ็นต์และหาความสัมพันธ์โดยใช้ Pearson Chi-Square ที่ระดับความเชื่อมัน 95 %</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผลการตรวจยีน BRCA พบผลบวก 29.0 เปอร์เซ็นต์ ผลลบ 71.0 เปอร์เซ็นต์ ผลการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง CA 15-3 สูงกว่าค่าปกติ 20.3 เปอร์เซ็นต์ ผลอยู่ในช่วงค่าปกติ 79.7 เปอร์เซ็นต์ ผลการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง CA 125 สูงกว่าค่าปกติ 1.0 เปอร์เซ็นต์ ผลอยู่ในช่วงค่าปกติ 99.0 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบผลการตรวจยีน BRCA กับผลการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง CA 15-3 พบว่าไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value = 0.16)</p> <p><strong>สรุป:</strong> ผลการตรวจยีน BRCA และผลการตรวจหาสารบ่งชี้มะเร็ง CA15-3 ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value = 0.16) ให้ผลการตรวจวิเคราะห์ที่สอดคล้องกัน</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> BRCA, CA15-3, CA125 <br /><br /></p> 2025-02-07T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Region 3 Medical and Public Health Journal - วารสารวิชาการแพทย์และสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 3 https://thaidj.org/index.php/smj/article/view/16147 การพัฒนาโปรแกรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถพยาบาลห้องผ่าตัด ในการพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ 2025-01-03T08:54:36+07:00 รุ่งนภา ศักดิ์ตระกูล rungnapasaktrakoon@gmail.com ชุลีพร การะภักดี chuleephorn2520@gmail.com วรรณภา ตั้งแต่ง Lbuma.wt@gmail.com อภิสรา สอนเมือง aphidsara@gmail.com ณัฎชารี กัณฑะเกตุ nutcharee6096@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อพัฒนาและประเมินประสิทธิผลของโปรแกรมการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมความสามารถของพยาบาลห้องผ่าตัดในการดูแลผู้ป่วยมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ การวิเคราะห์สถานการณ์ การพัฒนาโปรแกรม การทดลองใช้โปรแกรม และการประเมินผลลัพธ์ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยพยาบาลวิชาชีพ ที่ปฏิบัติงานในห้องผ่าตัด จำนวน 34 คน และ ผู้ป่วยมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกที่เข้ารับการผ่าตัด จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย แบบประเมินความรู้ แบบประเมินทักษะการพยาบาล 5 ด้าน ได้แก่ ด้านศิลปะการดูแล การประเมินผู้ป่วย การเตรียมผู้ป่วย การเฝ้าระวังและติดตามภาวะแทรกซ้อน และด้านการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ แบบประเมินความพึงพอใจ แบบบันทึกอุบัติการณ์ทางคลินิกทั้งในด้านผู้ป่วยและบุคลากร วิเคราะห์ข้อมูล แบ่งเป็น สถิติเชิงพรรณนา ใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อบรรยายข้อมูลพื้นฐาน ความรู้ ทักษะ และความพึงพอใจ สถิติเชิงอนุมาน ใช้ Paired t-test และ Independent t-test เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนความรู้ ทักษะการพยาบาล ส่วนการเปรียบเทียบอุบัติการณ์ในผู้ป่วยระหว่างกลุ่ม ใช้สถิติ Fisher’s Exact</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> โปรแกรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นเป็นแบบ Microlearning ผ่านระบบออนไลน์ การฝึกปฏิบัติในสถานการณ์จำลอง และการใช้สื่อดิจิทัลเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เมื่อนำไปทดลองใช้กับพยาบาลห้องผ่าตัดพบว่าหลังการใช้โปรแกรมการเรียนรู้ พยาบาลมีคะแนนความรู้เพิ่มขึ้นจาก 13.8±2.3 เป็น 17.4±1.4 คะแนน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ทักษะการพยาบาลในทุกด้านเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยของผู้ป่วย (จาก 31.8±2.0 เป็น 36.9±1.3 คะแนน) และด้านการเตรียมผู้ป่วยก่อนผ่าตัด (จาก 14.6±1.6 เป็น 19.9±5.0 คะแนน) พยาบาลมีความพึงพอใจต่อโปรแกรมในระดับมากที่สุด ในกลุ่มผู้ป่วยอุบัติการณ์ทางคลินิกที่ไม่พึงประสงค์ทั้งในด้านผู้ป่วยและบุคลากรลดลง แต่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value &gt; 0.05)</p> <p><strong>สรุป:</strong> การพัฒนาโปรแกรมนี้เน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมซึ่งเหมาะสมกับการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาศักยภาพของพยาบาลห้องผ่าตัดและบุคลากรทางการพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี ช่วยยกระดับความรู้ ทักษะ และสมรรถนะในการปฏิบัติงานนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นทั้งในด้านคุณภาพการดูแลและความปลอดภัยของผู้ป่วย</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> พยาบาลห้องผ่าตัด, มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก, การพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัด, การพัฒนาความสามารถ, โปรแกรมการเรียนรู้</p> 2025-02-27T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Region 3 Medical and Public Health Journal - วารสารวิชาการแพทย์และสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 3 https://thaidj.org/index.php/smj/article/view/15853 การประเมินประสิทธิภาพยาต้านอาเจียน ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับยาเคมีบำบัด ณ โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ 2024-11-25T08:17:56+07:00 ปิยชาติ ไวทยกุล p00392@gmail.com มีนานุช พิรุณ aewmena19@gmail.com <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อประเมินประสิทธิผลของการให้ยาต้านอาเจียนสูตรที่ไม่เป็นไปตามคำแนะนำในแนวทางการรักษาของ The National Comprehensive Cancer Network (NCCN) เปรียบเทียบกับสูตรที่เป็นคำแนะนำตามแนวทางการรักษา ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับยาเคมีบำบัด </p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> ทำการศึกษาจากเหตุไปหาผลแบบไปข้างหน้า (Prospective Cohort Study) ในผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่ได้รับยาเคมีบำบัดสูตรที่มีไซโคลฟอสฟาไมด์ร่วมกับด็อกโซรูบิซิน ศึกษาการเกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนหลังได้รับยาเคมีบำบัดชนิดเฉียบพลัน (0-24 ชั่วโมง) และชนิดล่าช้า (24-120 ชั่วโมง) และประเมินระดับความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้นตามเกณฑ์ Common Terminology Criteria for Adverse Events (CTCAE) Version 4.0 เปรียบเทียบระหว่างกลุ่มที่ได้รับยาต้านอาเจียนไม่ตรงตามคำแนะนำในแนวทางการรักษาของ The National Comprehensive Cancer Network (NCCN) ฉบับ 1.2024 (กลุ่มศึกษา) และกลุ่มที่ได้รับยาต้านอาเจียนตามคำแนะนำในแนวทางดังกล่าว (กลุ่มควบคุม) รวบรวมข้อมูลจากแบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วยระหว่างเดือนกันยายน 2566 ถึงกุมภาพันธ์ 2567 ทดสอบความแตกต่างของผลการศึกษาระหว่างกลุ่มโดยใช้ Independent t-test , Chi-square test และ Fisher’s exact test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ <em>p</em>-value น้อยกว่า 0.05</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบการเกิดอาการคลื่นไส้ชนิดเฉียบพลัน อาเจียนชนิดเฉียบพลัน คลื่นไส้ชนิดล่าช้า อาเจียนชนิดล่าช้า ในกลุ่มศึกษาร้อยละ 100, 92, 92, 88 และในกลุ่มควบคุม ร้อยละ 76, 48, 8, 4 ตามลำดับ (<em>p</em>-value 0.02, &lt;0.01, &lt;0.01, &lt;0.01) การเกิดอาการคลื่นไส้โดยรวม (0-120 ชั่วโมง) พบในกลุ่มศึกษา ร้อยละ 100 และกลุ่มควบคุมร้อยละ 76 (<em>p</em>-value &lt; 0.01) และการเกิดอาการอาเจียนโดยรวม (0-120 ชั่วโมง) พบในกลุ่มศึกษาร้อยละ 92 และกลุ่มควบคุมร้อยละ 52 (<em>p</em>-value &lt; 0.01) ในกลุ่มศึกษาพบผู้ป่วยเกิดอาการคลื่นไส้ชนิดเฉียบพลันความรุนแรงระดับ 2 จำนวน 17 คน และพบผู้ป่วยเกิดอาการอาเจียนชนิดเฉียบพลันความรุนแรงระดับ 2 จำนวน 12 คน และความรุนแรงระดับ 3 จำนวน 5 คน ขณะที่ในกลุ่มควบคุม ไม่พบการเกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนความรุนแรงระดับ 2 และ 3</p> <p><strong>สรุป:</strong> สูตรยาต้านอาเจียนตามคำแนะนำในแนวทางการรักษาของ NCCN มีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดอาการคลื่นไส้และอาเจียนทั้งชนิดเฉียบพลันและชนิดล่าช้าได้ดีกว่าสูตรยาต้านอาเจียนอื่นนอกเหนือจากคำแนะนำดังกล่าว</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> ภาวะคลื่นไส้และอาเจียนจากยาเคมีบำบัด, เกณฑ์ประเมินระดับความรุนแรงของอาการไม่พึงประสงค์, ยาต้านอาเจียน</p> 2025-02-17T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Region 3 Medical and Public Health Journal - วารสารวิชาการแพทย์และสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 3 https://thaidj.org/index.php/smj/article/view/15786 การศึกษาผลของโปรแกรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ตำบลหนองคล้า อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร 2024-10-21T11:32:29+07:00 อรพิมพ์ พันธชัย poomploy-1@hotmail.com วรรณี จิวสืบพงษ์ wannee@bcnsprnw.ac.th <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> การศึกษาโปรแกรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ตำบลหนองคล้า อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของโปรแกรมการประยุกต์ใช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ ต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง</p> <p><strong>วิธีการศึกษา:</strong> การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi–experimental research) กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ที่มีอายุระหว่าง 35-60 ปี และมีทะเบียนบ้านอยู่ในตำบลหนองคล้า อำเภอไทรงาม จังหวัดกำแพงเพชร แบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 กลุ่ม เก็บข้อมูลก่อนและหลังการทดลอง (Two-groups pretest-posttest design) โดยจัดให้เป็นกลุ่มทดลองจำนวน 35 คน ได้โปรแกรมการประยุกต์ ใช้ทฤษฎีแบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพและ กลุ่มควบคุมจำนวน 35 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ในช่วงเดือน กรกฎาคม ถึง กันยายน 2566</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่า คะแนนความรู้เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงกว่า กลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value&lt;0.001; 95%CI : 0.51 ถึง 1.77) การรับรู้เกี่ยวกับ โรคหลอดเลือดสมอง พบว่า กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value &lt;0.001; 95%CI : 0.51 ถึง 1.77) พฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยคะแนนสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value&lt;0.001; 95%CI : 7.54 ถึง 11.03) และระดับความดันโลหิต กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยความดันโลหิต Systolic ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value &lt;0.001; 95%CI : -11.62 ถึง-3.46) และค่าเฉลี่ยความดันโลหิต Diastolic ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (<em>p</em>-value=0.046 ; 95%CI : -6.85 ถึง -0.06) เนื่องจากโปรแกรมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมป้องกันโรคหลอดเลือดสมองในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เป็นกิจกรรมที่มีการร่วมกันแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ปัญหา สร้างความเข้าใจของสาเหตุ อาการ ความรุนแรงของโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากโรคความดันโลหิตสูง สร้างความตระหนักในการปรับเปลี่ยน พฤติกรรม และตัดสินใจในกิจกรรมต่างๆ ที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต จนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้น จึงบอกได้ว่า การจัดโปรแกรมการประยุกต์แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ มีผลต่อการปรับเปลี่ยน พฤติกรรมการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงได้</p> <p><strong>สรุป:</strong> การจัดโปรแกรมการประยุกต์แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ มีผลต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงได้ จึงควรให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ระดับตำบล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น นำไปประยุกต์ใช้ในการจัดกิจกรรมปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในกลุ่มผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยงในโรคต่างๆ ได้</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> แบบแผนความเชื่อด้านสุขภาพ, โรคหลอดเลือดสมอง, การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม, โรคความดันโลหิตสูง</p> 2025-01-30T00:00:00+07:00 ลิขสิทธิ์ (c) 2025 Region 3 Medical and Public Health Journal - วารสารวิชาการแพทย์และสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 3