ประสิทธิผลการประยุกต์โปรแกรมทักษะชีวิตเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการเสพสารเสพติดของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 ในอำเภอเมืองชลบุรี
คำสำคัญ:
โปรแกรมทักษะชีวิต, สารเสพติด, ยาเสพติดบทคัดย่อ
สารเสพติดเป็นปัญหาระดับประเทศนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น มีการแพร่ระบาดเข้าไปในกลุ่มเยาวชน ทั้งในโรงเรียนและชุมชนซึ่งเป็นทรัพยากรอันมีค่ายิ่งของประเทศ จึงจำเป็นต้องหาวิธีการในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเร่งด่วน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลองเพื่อศึกษาประสิทธิผลการประยุกต์โปรแกรม ทักษะชีวิตเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมการป้องกันการเสพสารเสพติดของนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6 ในเขตอำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โดยประยุกต์แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับทักษะชีวิต กลุ่มประชากรที่ศึกษา คือ นักเรียนประถมศึกษา ปีที่ 6 จำนวน 2 ห้องเรียนของโรงเรียนวัดอู่ตะเภา ตำบลหนองไม้แดง อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี โดยสมัครใจเข้าร่วมโปรแกรม สุ่มตัวอย่างแบบง่ายด้วยการจับฉลาก เพื่อเลือกห้องเรียนที่เข้าร่วมการทดลอง โดยจับฉลากครั้งแรกได้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ห้องที่ 1 เป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 45 คน กำหนดให้เข้าร่วมโปรแกรมทักษะชีวิต 9 ด้าน ซึ่งนำผู้ที่รับผิดชอบงานยาเสพติดระดับจังหวัด อำเภอและตำบล มาร่วมพัฒนาโปรแกรมทักษะชีวิต เขียนเป็นแผนการสอนโดยเริ่มจากนำเข้าสู่บทเรียนเป็นกิจกรรมนันทนาการประเภทเพลงประกอบท่า เพลงนำเข้าสู่บทเรียนเนื้อหาการเรียนการสอนเป็นแบบเชิงปฏิบัติการ การแสดงบทบาทสมมติ มีใบความรู้ ใบงานสรุปการเรียนรู้ในแต่ละ ชั่วโมง สำหรับห้องเรียนที่ 2 กำหนดให้เป็นกลุ่มควบคุม ไม่เข้าร่วมโปรแกรม จำนวน 43 คน เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยเครื่องมือในการจัดกิจกรรม และเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล หาความเที่ยง (reliability) ข้อคำถามในหมวด ทักษะชีวิตในการป้องกันสารเสพติด เท่ากับ 0.729 จัดกิจกรรมระหว่างเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2557 จำนวน 9 ครั้ง รวบรวมข้อมูลโดยสอบถามกลุ่มนักเรียนทั้ง 2 กลุ่ม คือกลุ่มทดลองและกลุ่มเปรียบเทียบ ก่อนและหลังเข้าร่วมโปรแกรมทักษะชีวิตวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน paired t-test และ independence t-test ผลการศึกษา พบว่า ภายหลังการทดลอง กลุ่มทดลองมีทักษะชีวิตด้านการตัดสินใจและแก้ปัญหาความรับผิดชอบต่อสังคม การจัดการอารมณ์และความเครียด ทักษะในการปฏิเสธ การกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ความภาคภูมิใจในตนเอง ตระหนักรู้ตนเอง การคิดวิเคราะห์วิจารณ์และการเห็นใจผู้อื่นได้ และพฤติกรรมการป้องกันการเสพสารเสพติด ดีกว่าก่อนการทดลองและดีกว่ากลุ่มเปรียบเทียบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ซึ่งการศึกษาครั้งนี้มีข้อจำกัด ไม่สามารถเข้าไปสอนในชั่วโมงการเรียนการสอนได้ ต้องอาศัยช่วงบูรณาการการเรียนการสอน วิชาลูกเสือ หรือวิชาสุขศึกษาเพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของสารเสพติดในกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลาย เสมือนเป็นการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันจิตใจให้กับนักเรียนอีกด้วย
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2017 Journal of Health Science- วารสารวิชาการสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

