การพัฒนาแนวทางแก้ปัญหาผู้ป่วยโรคหืดไม่ได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่นโรงพยาบาลไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี
คำสำคัญ:
แนวทางแก้ปัญหา, โรคหืด, ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่นบทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัย และ สาเหตุ ที่ผู้ป่วยโรคหืดไม่ได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น จากนั้นพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหา
วิธีการ: เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research) ผู้วิจัยได้ทบทวนเวชระเบียนย้อนหลังเพื่อหาปัจจัยและสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยโรคหืดไม่ได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น และดำเนินหาแนวทางการแก้ปัญหานี้ แนวทางแก้ไขปัญหาได้รับการอภิปรายในการสนทนากลุ่ม ประกอบด้วยแพทย์ เภสัชกร และ พยาบาล จากนั้นได้แจ้งแก่คณะกรรมการเภสัชกรรมและการบำบัดเพื่อนำมาปฏิบัติในโรงพยาบาล และเก็บรวบรวมข้อมูล
ผลการวิจัย: จากการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2562 ถึง 31 ธันวาคม 2562 มีผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคหืดทั้งหมด 274 ราย ผู้ป่วยโรคหืดที่ได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น จำนวน 210 ราย (ร้อยละ 76.64) จากการทบทวนผู้ป่วยโรคหืดที่ไม่ได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ จำนวน 64 ราย พบว่าสาเหตุของปัญหาที่พบมากที่สุด ได้แก่ ผู้ป่วยไม่ได้รับใบนัดจากแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินหรือได้รับใบนัดแล้วไม่มาตามนัด จากสาเหตุของปัญหาสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ปัจจัย ได้แก่ 1. ปัจจัยด้านการรักษาพยาบาล 2. ปัจจัยด้านระบบการนัดหมาย และ 3. ปัจจัยของผู้ป่วยเอง หลังจากการสนทนากลุ่มได้กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา เช่น เมื่อผู้ป่วยโรคหืดมารักษาที่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ให้แพทย์พิจารณาให้ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น ตามความเหมาะสม ทุกสิทธิ และนัดเข้าคลินิกโรคหืด หรือ นัดพบแพทย์ในเวรเช้า หลังจากแก้ไขปัญหา และ เก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1 เมษายน 2563 ถึง 30 มิถุนายน 2563 มีผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคหืดทั้งหมด 213 ราย ผู้ป่วยโรคหืดได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น จำนวน 177 ราย (ร้อยละ 83.10) โดยมีผู้ป่วยได้รับยาครั้งแรกเพิ่มขึ้นจากแนวทางการแก้ไขปัญหา จำนวน 12 ราย (ร้อยละ 5.63) แผนกผู้ป่วยนอกมีผู้ป่วยโรคหืดได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่นมากที่สุด (ร้อยละ 92.35) ในขณะที่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉินมีผู้ป่วยได้รับยาน้อยที่สุด (ร้อยละ 26.67)
สรุป: ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า การหาปัจจัย, สาเหตุของปัญหา และพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหา สามารถทำให้ร้อยละผู้ป่วยโรคหืดได้รับยาคอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดสูดพ่น เพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 83.10 ผ่านเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 โดยโรงพยาบาลไทรน้อยดำเนินงานตามแนวทางโครงการ RDU hospital โดยมีคณะกรรมการเภสัชกรรมแลiะการบำบัด (PTC) เป็นกลไกสำคัญในการดำเนินการตลอดจนติดตามประเมินผลตัวชี้วัด
เอกสารอ้างอิง
พิสนธิ์ จงตระกูล. การใช้ยาอย่างสมเหตุผลใน Primary care. พิมพ์ครั้งที่ 3. เชียงใหม่: วนิดาการพิมพ์; 2559. หน้า 3-5.
สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข. การพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service plan) สาขาพัฒนาระบบบริการให้มีการใช้ยาอย่างสมเหตุผล (Service plan:Rational Drug Use). นนทบุรี: กลุ่มงานพัฒนาระบบสนับสนุนบริการ; 2559. หน้า 40, 63-4.
ดาริกา วอทอง, เนสีนี ไชยเอีย, วัชรา บุญสวัสดิ์. ลักษณะอาชีพและปัจจัยกระตุ้นการเกิดโรคหืดของผู้ป่วยที่เข้ารับบริการคลินิกโรคหืดในโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จังหวัดขอนแก่น. ศรีนครินทร์เวชสาร 2557;29(3):223-30.
โสมมนัส โกยสวัสดิ์. ผลสัมฤทธิ์ของคลินิกโรคหืด โรงพยาบาลกระสัง จังหวัดบุรีรัมย์. วารสารการแพทย์ โรงพยาบาลศรีสะเกษ 2555;27(1):33-42.
ดนัย พิทักษ์อรรณพ, บังอร ม่วงไทยงาม. การพัฒนาระบบบริการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคหืดที่มารับการรักษาที่คลินิกโรคหืดแบบบูรณาการ โรงพยาบาลสรรคบุรี จังหวัดชัยนาท. วารสารวิชาการสาธารณสุข 2561;27(5):856-65.
วศินี วีระไวทยะ. ผลลัพธ์ของการจัดตั้งคลินิกโรคหืดอย่างง่าย โรงพยาบาลสามร้อยยอด. วารสารแพทย์เขต 4-5 2562;38(1):51-60.
มูลนิธิเพื่อการพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ. รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการผลลัพธ์ต่อพฤติกรรมการสั่งยาและผู้ป่วยจากการดำเนินงานโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาสมเหตุผล ได้รับทุนอุดหนุนจากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.). 2563: หน้า 133-45.
สุมาลี ท่อชู, รุ่งทิวา หมื่นปา. ผลลัพธ์ของการดำเนินโครงการโรงพยาบาลส่งเสริมการใช้ยาอย่างสมเหตุผลในอำเภอหนองหงส์ จังหวัดบุรีรัมย์. วารสารเภสัชกรรมไทย 2560;9(2):463-74.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2022 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ข้อความภายในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารเภสัชกรรมคลินิกทั้งหมด รวมถึงรูปภาพประกอบ ตาราง เป็นลิขสิทธิ์ของกองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข การนำเนื้อหา ข้อความหรือข้อคิดเห็น รูปภาพ ตาราง ของบทความไปจัดพิมพ์เผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ต้องได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการวารสารเภสัชกรรมคลินิกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข อนุญาตให้สามารถนำไฟล์บทความไปใช้ประโยชน์และเผยแพร่ต่อได้ โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอน (Creative Commons License: CC) โดย ต้องแสดงที่มาจากวารสาร – ไม่ใช้เพื่อการค้า – ห้ามแก้ไขดัดแปลง, Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)
ข้อความที่ปรากฏในบทความในวารสารเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับกองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข และบุคลากรในกองฯ หรือ ชมรมฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเอง ตลอดจนความรับผิดชอบด้านเนื้อหาและการตรวจร่างบทความเป็นของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการ