การนำหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิตมาใช้ในการควบคุม และป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง

ผู้แต่ง

  • เทอดศักดิ์ โรจน์สุรกิตติ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์น
  • ประภารัตน์ วัฒนกุล แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป อิสระ
  • ภูดิท เตชาติวัฒน์ ผู้จัดการโครงการจัดการความรู้และพัฒนาวิชาการเวชศาสตร์วิถีชีวิต

คำสำคัญ:

ความดันโลหิตสูง, เวชศาสตร์วิถีชีวิต, การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต, การควบคุมและป้องกัน

บทคัดย่อ

ความดันโลหิตสูง (Hypertension) เป็นภาวะที่แรงดันโลหิตในหลอดเลือดแดงสูงเกินปกติอย่างต่อเนื่อง มักไม่มีอาการในระยะแรก แต่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งในระดับโลกและประเทศ การรักษาความดันโลหิตสูง ประกอบด้วย การใช้ยาลดความดันโลหิตและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ อย่างไรก็ตาม การรักษาส่วนใหญ่มุ่งเน้นการใช้ยาซึ่งอาจมีผลข้างเคียง เช่น อาการเหนื่อยล้าและเวียนศีรษะ นอกจากนี้ยายังมีค่าใช้จ่ายสูง ในปัจจุบันพบว่า การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตสามารถลดความดันโลหิตได้อย่างมีนัยสำคัญ และลดอัตราการตายจากโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจลงได้ถึง 30% การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยวิถีชีวิตที่ส่งผลต่อการมีพฤติกรรมเสี่ยงที่นำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูง และเพื่อทบทวนและเสนอหลักฐานเชิงประจักษ์ในการนำหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิตมาใช้ในการควบคุมและป้องกันภาวะความดันโลหิตสูง โดยการศึกษานี้ใช้วิธีการทบทวนวรรณกรรมเชิงระบบในการรวบรวม วิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากเอกสารวิชาการที่เชื่อถือได้ทั้งในต่างประเทศและในประเทศไทย เช่น PubMed, ScienceDirect, Scopus และ ThaiJO เป็นต้น การศึกษานี้พบว่า ปัจจัยวิถีชีวิตที่ส่งผลต่อการมีพฤติกรรมเสี่ยงที่นำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูง ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีความเค็ม ความหวาน ไขมันสูง และมีเส้นใยต่ำมากเกินไป การขาดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การมีความเครียดเรื้อรัง การนอนไม่เพียงพอ การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ในระดับอันตราย และการขาดการมีปฏิสัมพันธ์ในสังคมที่ดี และพบว่าเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) เป็นการแพทย์ที่ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ในการจัดการและป้องกันโรคไม่ติดต่อ รวมถึงโรคความดันโลหิตสูง ที่มีประสิทธิภาพ โดยมีหลักฐานยืนยันว่าการนำหลักการของเวชศาสตร์วิถีชีวิตไปใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพเพื่อควบคุมและป้องกันโรคความดันโลหิตสูงได้อย่างยั่งยืน เช่น การบริโภคอาหารรูปแบบ DASH การออกกำลังกายแบบแอโรบิก การจัดการความเครียด เช่น การทำสมาธิ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนหลับที่เพียงพอ การหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ในระดับอันตราย และการมีเครือข่ายทางสังคมที่สนับสนุนและความสัมพันธ์ที่ดี ช่วยลดระดับความเครียด และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคความดันโลหิตสูง รวมถึงสามารถเพิ่มคุณภาพชีวิตอีกด้วย ดังนั้น เวชศาสตร์วิถีชีวิต นับเป็นแนวทางใหม่ในการให้บริการสุขภาพเพื่อควบคุมและป้องกันโรคไม่ติดต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคความดันโลหิตสูง อย่างมีประสิทธิภาพ โดยควรบูรณาการเข้ากับการบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงได้อย่างครอบคลุมและเท่าเทียม นำไปสู่การลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรและลดภาระทางเศรษฐกิจจากการรักษาพยาบาลที่ไม่จำเป็นให้กับประเทศไทย

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-02-19

ฉบับ

บท

Review Article (บทความปริทัศน์)