น้ำท่วม และโรคภัยที่มากับน้ำ
บทคัดย่อ
น้ำท่วมเป็นภัยธรรมชาติที่น่ากลัว และรับมือได้ยาก ทำให้เกิดความเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย และทรัพย์สินที่เสียหาย ทำให้กิดผลกระทบจากน้ำท่วม ดังนี้ ปัญหาน้ำขังเน่าเหม็นในพื้นที่ต่าง ๆ ปัญหาน้ำทะเลจืดทำให้ปลาเกยตื้นขึ้นมาตาย ปัญหาขยะทำให้หลังน้ำลดลงมีขยะที่ต้องทิ้งเป็นจำนวนมาก ปัญหาคนตกงานเป็นจำนวนมากเนื่องจากโรงงานบางแห่งน้ำท่วมขังทำให้ไม่สามารถทำงานได้ ปัญหาเศรษฐกิจย่ำแย่เนื่องจากสินค้าบางอย่างไม่สามารถผลิตออกมาได้ทำให้เสียดุลการค้า และปัญหาใหญ่ประการหนึ่งที่จะเกิดตามมาก็คือปัญหาสุขภาพเพราะน้ำมักพาสิ่งสกปรก และเชื้อโรคมาด้วยเสมอ อาการป่วยที่อาจมากับน้ำท่วมที่ควรระมัดระวังมีหลายชนิด เช่น โรคน้ำกัดเท้า โรคไข้เลือดออก โรคฉี่หนู โรคระบบทางเดินอาหาร โรคระบบทางเดินหายใจ
ปี 2567 จุดเปลี่ยนโลก เมื่ออุณหภูมิร้อนทุบสถิติใหม่ เป็นปีแรกที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้นมากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับช่วงก่อนยุคอุตสาหกรรม ในช่วงปี ค.ศ.1850–1900 (พ.ศ. 2393-2443) ซึ่งเป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในระดับอุตสาหกรรม และช่วงปี ค.ศ. 1940-2024 โดยสภาพภูมิอากาศกำลังร้อนขึ้นในทุกทวีป และทุกแอ่งมหาสมุทร จากการติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัส (Copernicus Climate Change Service: C3S) ของสหภาพยุโรป (EU) อุณหภูมิที่อยู่เหนือค่าเฉลี่ยมากที่สุด คือ ภาคเหนือของแคนาดา รวมทั้งสหรัฐตอนกลางและตะวันตก ธิเบตตอนเหนือ ญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ขณะที่อุณหภูมิที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย พบได้ในกรีนแลนด์และไอซ์แลนด์
นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิระดับดังกล่าว (มากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส) จะเป็นระดับที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญกับสภาพบนโลก และไม่อาจย้อนกลับไปได้ คือ เกิดการพังทลายของแผ่นน้ำแข็งกรีนแลนด์ การพังทลายของแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกาตะวันตก แนวปะการังเขตร้อนเริ่มตาย และชั้นดินเยือกแข็งละลาย นักวิทยาศาสตร์ยังคาดว่าผลกระทบรุนแรงจะเกิดขึ้นอีกครั้ง หากอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น 2.0 °C จากอุณหภูมิเฉลี่ยยุคก่อนอุตสาหกรรม
ปรากฎการณ์ ENSO ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม-มิถุนายน) ประเทศไทยเผชิญสภาพอากาศร้อน อุณหภูมิสูงขึ้น และปริมาณน้ำฝนซึ่งเป็นผลจากปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อผลผลิตเกษตรเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพืชเศรษฐกิจ อาทิ ข้าวนาปรัง มันสำปะหลัง และอ้อย จนเกิดปัญหาอุปทานขาดแคลน (Supply Shortage) อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งปีหลัง (กรกฎาคม-ธันวาคม) ภาวะเอลนีโญอ่อนกำลังลงเข้าสู่ภาวะปกติ (Neutral) แต่กลับมีแรงส่งมากพอเปลี่ยนเข้าสู่ภาวะลานีญา (La Niña) ที่ทำให้อุณหภูมิลดลงทั่วประเทศ ทำให้ฝนตกหนักกว่าปกติ ปริมาณน้ำฝนมากกว่าค่าปกติ 15.0-16.0% ทำให้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา ประเทศไทยเผชิญความเสี่ยงน้ำท่วมฉับพลันมากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ท่วมซ้ำซาก (Flood-prone Areas หรือ Flood Bed) ก่อให้เกิดอุทกภัย น้ำท่วมเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ ภาคเหนือและภาคใต้ของประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมรุนแรงที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมิสร้างความเสียหายต่อบ้านเรือน
ประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงจากอิทธิพลของพายุและลมมรสุม ที่แม้จะไม่ได้เข้าสู่ประเทศไทยโดยตรงแต่อาจเคลื่อนที่เข้าบริเวณประเทศเพื่อนบ้านและต่อมาสลายตัวหรือเปลี่ยนทิศทาง แต่ยังคงส่งอิทธิพลต่อปริมาณฝนในไทยได้ โดยพื้นที่ด้านทิศตะวันออกและตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเผชิญอิทธิพลจากพายุ กระแสน้ำอุ่น และลมมรสุมจากมหาสมุทรแปซิฟิก ทำให้มีปริมาณน้ำฝนมากขึ้น โดยจะเห็นได้จากดัชนี Pacific Decadal Oscillation (PDO) และดัชนี Western Pacific Monsoon ที่มีค่าเป็นลบและมีทิศทางขาลงซึ่งบ่งชี้ปริมาณฝนที่มากขึ้น ขณะที่พื้นที่ทางทิศตะวันตกของประเทศไทยจะเผชิญอิทธิพลจากพายุ กระแสน้ำอุ่น และลมมรสุมจากมหาสมุทรอินเดีย ทำให้มีปริมาณน้ำฝนมากขึ้น บ่งชี้จากดัชนี Indian Ocean Dipole (IOD) และดัชนี Indian Monsoon Index ที่เป็นลบและมีทิศทางขาลงเช่นกัน
ทั้งนี้ พื้นที่ในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และบางส่วนของภาคใต้จัดว่าเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะภาคเหนือตอนล่างซึ่งเป็นทางน้ำผ่าน และภาคกลางซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำและเป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก ซึ่งหากเกิดอุทกภัยขึ้นจะสร้างความเสียหายเพิ่มเติมแก่ภาคการเกษตรต่อจากความเสียหายจากภัยแล้งในช่วงต้นปี โดยความเสียหายจะครอบคลุมไปถึงพื้นที่เกษตร สิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือน เครื่องอุปโภคบริโภค ตลอดจนเส้นทางคมนาคมและสาธารณูปโภคต่างๆ
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
ฉบับ
บท
การอนุญาต

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
บทความที่ได้รับการตีพิมพิ์เป็นลิขสิทธิ์ของวารสารโรงพยาบาลชลบุรี