ความแตกต่างของความวิตกกังวลในผู้ดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมเด็กระหว่างในห้องตรวจผู้ป่วยนอกกับห้องรอผ่าตัด

Authors

  • กันติชา พิริยะเมธา สาขาวิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

Abstract

หลักการและวัตถุประสงค์ : ความวิตกกังวลก่อนการผ่าตัดของผู้ป่วยเด็กและผู้ดูแลสัมพันธ์กับปัญหาพฤติกรรมไม่พึงประสงค์หลังการผ่าตัดและการได้รับยาแก้ปวด อย่างไรก็ตามยังไม่พบงานวิจัยที่เปรียบเทียบความวิตกกังวลของผู้ดูแลในแต่ละบริบท งานวิจัยนี้จึงทำขึ้นเพื่อเปรียบเทียบระดับความวิตกกังวลของผู้ดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมเด็กที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกกับผู้ดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมเด็กที่ห้องรอผ่าตัด  รวมถึงศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความวิตกกังวลของผู้ดูแล และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความวิตกกังวลของผู้ดูแลและผู้ป่วยเด็กที่ห้องรอผ่าตัด

วิธีการศึกษา : การศึกษาเชิงตัดขวางนี้ดำเนินการในอาสาสมัครที่เป็นผู้ดูแลหลักของผู้ป่วยศัลยกรรมเด็กอายุ 2-12 ปีที่เข้ารับการรักษาที่แผนกศัลยกรรมเด็ก โรงพยาบาลศรีนครินทร์ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่กลุ่มผู้ดูแลที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก 39 ราย ซึ่งผู้ป่วยในความดูแลไม่มีกำหนดการผ่าตัดในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้า และกลุ่มผู้ดูแลผู้ป่วยที่ห้องรอผ่าตัด  39 ราย พร้อมทั้งผู้ป่วยศัลยกรรมเด็กในความดูแล 39 ราย ที่มีกำหนดการผ่าตัดตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ.2566 จนครบขนาดตัวอย่าง

ผู้ดูแลผู้ป่วยทั้งสองกลุ่มทำแบบสอบถามข้อมูลทั่วไป และทำแบบประเมินความวิตกกังวล Depression Anxiety Stress Scale -21 (DASS-21) ด้วยตนเอง และผู้ป่วยศัลยกรรมเด็กที่ห้องรอผ่าตัดจะได้รับการประเมินความวิตกกังวล Modified Yale Preoperative Anxiety Scale (m-YPAS) โดยผู้ช่วยวิจัย

วิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (ความถี่ ร้อยละ ค่ามัธยฐาน และพิสัยระหว่างควอไทล์), Pearson chi-squared test, Fisher's exact test ,Ordered logistic regression และ Spearman's rank correlation

ผลการศึกษา : ผู้ดูแลส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 92.31) อายุมัธยฐาน 37 ปี โดยค่ามัธยฐานของอายุผู้ป่วยเด็กในกลุ่มห้องรอผ่าตัดต่างจากห้องตรวจผู้ป่วยนอก คือ 4 ปี และ 7 ปี ตามลำดับ ผู้ดูแลที่มีความวิตกกังวลในกลุ่มห้องรอผ่าตัดคิดเป็นร้อยละ 30.77 ในขณะที่กลุ่มห้องผู้ป่วยนอกคิดเป็นร้อยละ 35.9 โดยไม่พบความแตกต่างของระดับความวิตกกังวลอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสองกลุ่ม (p = 0.631) ปัจจัยที่สัมพันธ์กับระดับความวิตกกังวลที่สูงขึ้น ได้แก่ การดูแลผู้ป่วยเพศหญิงและการมีอาชีพรับจ้างทั่วไป (adjusted OR 2.69, p = 0.040; OR 23.65, p = 0.011 ตามลำดับ) พบว่าผู้ดูแลที่ไม่ใช่บิดามารดาและผู้ดูแลที่ทราบการวินิจฉัยโรคของผู้ป่วยมีระดับความวิตกกังวลที่ต่ำกว่า (adjusted OR 0.07, p = 0.038; OR 0.29, p = 0.014 ตามลำดับ) ทั้งนี้ ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างระดับความวิตกกังวลของผู้ดูแลและผู้ป่วยเด็ก (r 0.071, p=0.664) 

อภิปรายผล : สัดส่วนของผู้ดูแลที่มีความกังวลที่ห้องรอผ่าตัด 30.77% สอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้าที่มีสัดส่วน 30–70% ในขณะที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอก 35.9% น้อยกว่างานวิจัยก่อนหน้าที่ที่มีสัดส่วน 43.1-62.8% ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อความวิตกกังวลคือ การรับรู้เกี่ยวกับโรคของผู้ป่วย สอดคล้องกับงานวิจัยก่อนหน้าที่พบว่าการขาดข้อมูลที่เพียงพอเพิ่มความวิตกกังวล ขณะที่ผลงานวิจัยไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างความวิตกกังวลของผู้ดูแลและผู้ป่วยเด็ก ขัดแย้งกับงานวิจัยก่อนหน้าซึ่งอาจอธิบายได้จากวิธีการประเมิน และขนาดตัวอย่างที่จำกัด

ข้อสรุป : ระดับความวิตกกังวลไม่มีความแตกต่างระหว่างผู้ดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมเด็กที่ห้องตรวจผู้ป่วยนอกและผู้ดูแลผู้ป่วยศัลยกรรมเด็กที่ห้องรอผ่าตัด การรับรู้เกี่ยวกับภาวะโรคของผู้ป่วยเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความวิตกกังวล และไม่พบว่าความวิตกกังวลของผู้ดูแลมีผลกระทบต่อความวิตกกังวลของผู้ป่วยเด็กอย่างมีนัยสำคัญ

 คำสำคัญ: ความวิตกกังวล ผู้ดูแลผู้ป่วย ผู้ป่วยศัลยกรรมเด็ก ห้องตรวจผู้ป่วยนอก ห้องรอผ่าตัด

Downloads

Published

2025-10-20

Issue

Section

Poster Presentation