การพัฒนาระบบการคัดกรองวิเคราะห์ใบสั่งยาผู้ป่วยในโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา
คำสำคัญ:
การคัดกรอง วิเคราะห์ใบสั่งยา, ความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยาบทคัดย่อ
ปัจจัยของข้อจำกัดการที่เภสัชกรเข้าถึงข้อมูลผู้ป่วยได้เพียงจากสำเนาใบสั่งยา การต้องเปิดดูผลตรวจทาง ห้องปฏิบัติการผ่านคอมพิวเตอร์และการต้องใช้ทักษะและความสามารถส่วนบุคคล อาจส่งผลให้เภสัชกรทำการ วิเคราะห์ใบสั่งยาไม่ครบถ้วน ไม่เหมาะสมหรือไม่สามารถค้นพบปัญหาได้ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการคัดกรอง วิเคราะห์ในสั่งยผู้ป่วยในและการประเมินอัตราประเภทและระดับความรุนแรงของความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยาที่ดักจับได้ ก่อนและหลังพัฒนาระบบ เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวิธีดำเนินการแบ่งเป็น 3 ระยะ คือ (1) วิเคราะห์ปัญหาและพัฒนาระบบ จากผลรายงานเยี่ยมสำรวจขององค์กรวิชาชีพเภสัชกรรมโรงพยาบาลรายงานความคลาดเคลื่อนจากการสั่งใช้ยาผู้ป่วยใน การร่วมพูดคุยในทีมสหวิชาชีพ และประสานความร่วมมือกับศูนย์คอมพิวเตอร์ โดยระบบที่พัฒนา คือ การสามารถแสดงผลตรวจทางห้องปฏิบัติการที่จำเป็น และตัวส่งสัญญาณที่สัมพันธ์กับยาที่อาจเป็นสาเหตุการเกิดเหตุการณไม่พึงประสงค์ในใบบันทึกจ่ายยาของผู้ป่วยเป็นรายบุคคล และการสร้างมาตรฐานการปฏิบัติงานเบื้องต้น (2) ดำเนินงานตามระบบที่พัฒนาขึ้นในระยะเวลา 2 เดือน และ (3) ประเมินผลลัพธ์ผลการศึกษาพบว่าภายใต้บริบทสภาพแวดล้อมอื่นๆ คงที่ หลังพัฒนาระบบ อัตราความคลาดเคลื่อน ในการสั่งใช้ยา ที่ดักจับได้เพิ่มขึ้นจาก 0.7 ครั้ง เป็น 1.4 ครั้งต่อ 1,000 วันนอน (Incident rate ratio = 1.85; 95%CI=1.84- 1.86) ชนิดความคลาดเคลื่อนลำดับแรก คือ การสั่งยาขนาดที่มากหรือน้อยเกินไป เพิ่มขึ้นจาก 0.44 ครั้งเป็น 0.90ครั้งต่อ 1,000 วันนอน รองลงมาคือ การสั่งใช้ยาซ้ำช้อนและการไม่สั่งยาที่ผู้ป่วยสมควรได้รับ และพบว่า ความรุนแรงระดับ B เพิ่มจากร้อยละ 97.1 เพิ่มเป็นร้อยละ 97.9 ซึ่งแสดงว่า ระบบสามารถป้องกันปัญหาความคลาดเคลื่อนจากการ สั่งใช้ยาก่อนถึงตัวผู้ป่วยได้ดีขึ้น โดยสรุป การพัฒนาระบบการคัดกรอง วิเคราะห์ใบสั่งยาผู้ป่วยในช่วยให้เภสัชกรสามารถเข้าถึงข้อมูลที่จำเป็นในผู้ป่วยทุกราย และสามารถทำงานได้ตามมาตรฐานเบื้องต้นตามที่กำหนด
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2017 Journal of Health Science- วารสารวิชาการสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

