ความสามารถ และพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตได้และไม่ได้ โรงพยาบาลลำทะเมนชัย จังหวัดนครราชสีมา
คำสำคัญ:
โรคความดันโลหิตสูง, พฤติกรรมการดูแลตนเอง, การควบคุมความดันโลหิตบทคัดย่อ
การวิจัยเชิงเปรียบเทียบนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการควบคุมโรคความ ดันโลหิต ความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง การได้รับการสนับสนุนทางสังคม การได้รับข่าวสารเกี่ยวกับ เรคความดนเลหตสูง และพฤตกรรมการดูแลตนเอง ระหวางผบวยเรคความดนเลหตสงทควบคมความดน โลหิตได้และไม่ได้ ตลอดจนศึกษาการเกิดภาวะแทรกซ้อน และปัญหาอุปสรรคในการควบคุมความดันโลหิตของผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรงพยาบาลลำทะเมนชัย จังหวัดนครราชสีมา กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่าป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงชนิดไม่ทราบสาเหตุ มาตรวจรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกอย่างน้อย 3 ครั้ง มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป และยินดีให้ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม คัดเลือกกลุ่ม ตัวอย่างโดยการสุ่มตัวอย่างแบบมีระบบที่แผนกผู้ป่วยนอก จำนวน 300 ราย เก็บข้อมูลระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึงกันยายน 2555 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา และการทดสอบที่ พบผลการศึกษา ดังนี้ ผู้ป่วย โรคความดันโลหิตสูง สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ ร้อยละ 50.7 โดยผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตได้ และไม่ได้ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 65.1 และ 61.5 ตามลำดับ มีความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงในระดับปานกลาง ผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตได้ ได้รับการสนับสนุนทางสังคมในระดับสูง ร้อยละ 47.3 ระดับปานกลาง และต่ำ ร้อยละ 47.0 และ 5.7 ตามลำดบ ส่วนผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 64.2 ได้รับการสนับสนุนทางสังคมในระดับปานกลาง ทั้งในกลุ่มควบคุมความดันโลหิตได้ และไม่ได้ ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงในระดับต่ำ ร้อยละ 48.0 และ 42.6 ตามลำดับ นอกจากนี้ ผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตได้ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 92.8 มีพฤติกรรมการดูแลตนเองในระดับดี ส่วนผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 77.7 มีพฤติกรรมการดูแลตนเองในระดับปานกลาง ผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตได้ และไม่ได้ มีความรู้เกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง ได้รับการสนับสนุนทางสังคม และได้รับข่าวสารเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูง ไม่แตกต่างกันทางสถิติ (p > 0.05) แต่ผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตได้ มีพฤติกรรมการ ดูแลตนเองในภาพรวม และในแต่ละด้าน คือ ด้านการกันยา ด้านการควบคุมอาหาร ด้านการออกกำลังกาย ด้านการจัดการกับความเครียด และด้านการควบคุมปัจจัยเสี่ยง ดีกว่าผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ ส่วนการดูแลตนเองด้านการตรวจสุขภาพ พบว่า ผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ มีพฤติกรรมการดูแลตนเองดีกว่าผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตได้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.01) สำหรับในเรื่องการเกิดภาวะแทรกซ้อน พบว่า ผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตได้และไม่ได้ เกิดภาวะแทรกซ้อน ร้อยละ 21.1 และ 20.3 ตามลำดับ ปัญหา อุปสุรรคในการปฏิบัติตัวต่อการควบคุมโรคความดันโลหิตสูง พบมากในกลุ่มที่ควบคุมความดันโลหิตไม่ได้ ในเรื่องติดรสชาติอาหารที่ชอบ ไม่ใส่ใจต่อการควบคมอาหาร สขภาพไม่แข็งแรงที่จะออกกำลังกาย และควบคุมตัวเองไม่ได้ร้อยละ 9.5, 6.9, 6.0 และ 4.3 ตามลำดับ ส่วนผู้ที่ควบคุมความดันโลหิตได้ พบปัญหาในเรื่องต่าง ๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2017 Journal of Health Science- วารสารวิชาการสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

