ความชุกของการคงอยู่และการกลับเป็นซ้ำของโรคในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะแรกเริ่มระดับสูง ที่มีรอยโรคที่ขอบของชิ้นเนื้อหลังการตัด ปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า
คำสำคัญ:
การคงอยู่ของโรค, การกลับเป็นซ้ำของโรค, การตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า, มะเร็งปากมดลูกระยะเริ่มแรกระดับสูงที่มีรอยโรคที่ขอบชิ้นเนื้อบทคัดย่อ
การวิจัยเชิงทดลองไปข้างหน้านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความชุกของการคงอยู่และการกลับเป็น ซ้ำของโรคในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกระยะแรกเริ่มระดับสูงที่มีรอยโรคที่ขอบชิ้นเนื้อ (CIN II-IlI with posi-tive margin) หลังการผ่าตัดปากมดลูกด้วยห่วงไฟฟ้า (LEEP) กับผู้ป่วยที่ทำ LEEP แล้วรักษาต่อด้วยการตัดมดลูก โดยศึกษาในกลุ่มงานสูตินรี-เวชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช จังหวัดสุพรรณบุรี ตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 ถึง 31 มีนาคม พ.ศ. 2551 โดยแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 เป็นผู้-ป่วยหลังจากทำ LEEP แล้วมาตรวจติดตามหลังการักษา กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มศึกษาทำ LEEP แล้วตัดมดลูกภายใน 6 เดือน บันทึกผลพยาธิวิทยาของปากมดลูกจากการทำ LEEP ของมดลูกจากการตัดมดลูกและผลการตรวจในผู้ป่วยที่มาตรวจติดตามผลการรักษา ซึ่งประกอบด้วยผล Pap smear และผลพยาธิวิทยาจากการตรวจสืบค้นในรายที่ผล Pap smear ผิดปรกติ นำผลการตรวจติดตามหลังการรักษาเพื่อ วิเคราะห์หาความชุกของการคงอยู่ของโรค และการกลับเป็นซ้ำของโรค ซึ่งเป็นตัววัดที่สำคัญของการศึกษา นิและนำมาเปรียบเทียบกัน
มีผู้ป่วยที่ศึกษาทั้งหมด 65 ราย แบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 37 ราย และกลุ่มศึกษา 28 ราย พบว่าความชุกของการคงอยู่ของโรคในกลุ่มควบคุมมีร้อยละ 24.3 ส่วนกลุ่มศึกษาไม่พบ ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p = 0.008) สำหรับความชุกของการกลับเป็นซ้ำของโรคนั้นในกลุ่มควบคุม มีร้อยละ 16.2 มากกว่ากล่มศึกษาซึ่งมีร้อยละ 7.1 โดยเป็นความแตกต่างที่ไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (n = 0.449) แต่ผลการ ศึกษาอาจผิดพลาดได้เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มศึกยามาตรวจ ติดตามหลังการรักษาด้วยระยะเวลาที่สั้นกว่า ผู้ป่วยกลุ่มควบคุมอย่างมันยสำคัญทางสถิต
สรุปว่าผู้ป่วยที่ทำ LEEP แล้วพบมีผลพยาธิวิทยาเป็น CIN I, Ill with posiive margin ควรรักษา โดยตรวจติดตามเป็นระยะอย่างสม่ำเสมอ หรือทำ LEEP ซ้ำ ถ้าทำไม่ได้ค่อยพิจารณาตัดมดลูก
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2018 วารสารวิชาการสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

