ผลการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์ด้วยยา GPOvirS30, ในโรงพยาบาลปทุมธานี: ประสบการณ์ 5 ปี

บทคัดย่อ

ตั้งแต่มีการใช้ยา GPOvis₃₀ สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์อย่างแพร่หลายในประเทศไทย ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น โรคติดเชื้อฉวยโอกาสและอัตราการตายลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงของยาเป็น อุปสรรคสำหรับการใช้ยานี้ในระยะยาว การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของยาดังกล่าวในระยะยาวรวมถึงผลข้างเคียงของยาและกลุ่มอาการอักเสบจากการฟื้นตัวของระบบภูมิคุ้มกัน (Immune Reconstitution Inflammatory Syndrome, IRIS) ที่เกิดขึ้นหลังการรักษา โดยเก็บข้อมูลผู้ป่วยที่ไม่เคยรักษาและได้รับยา GPOvirS₃₀ ในโรงพยาบาลปทุมธานี ตั้งแต่เดือนธันวาคม พ.ศ. 2545 ถึงมกราคม พ.ศ. 2550 ผู้ป่วย 148 คน เข้าเกณฑ์การคัดเลือกและไม่เคยได้รับยาต้านไวรัสมาก่อน ค่าเฉลี่ย CD₄ ก่อนการรักษา 68.4 cells/mm³ ผู้ป่วย 30 คน (ร้อยละ 20.3) ตรวจไม่พบเชื้อไวรัสเอชไอวีตลอดระยะเวลาการรักษาเฉลี่ย 76.7 เดือน และค่าเฉลี่ย CD₄ 601.8 cells/mm³ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ผู้ป่วย 100 คน (ร้อยละ 67.5) มีอาการข้างเคียงของยา พบ lipodystrophy มากที่สุด 64 คน ผื่นแพ้ยา 20 คน ระดับเอนไซม์ ALT สูงกว่าปกติ 17 คน ชาปลายมือปลายเท้า 13 คน คิดเป็นร้อยละ 43.2, 13.5, 11.5 และ 8.8 ตามลำดับ พบกลุ่มอาการอักเสบจากการฟื้นตัวของระบบภูมิคุ้มกัน หลังการรักษา (IRIS) 26 คน คิดเป็นร้อยละ 17.5 tuberculosis IRI S 13 คน cryptococcosis IRIS 5 คน mycobacterium avium complex IRIS 1 คน คิดเป็นร้อยละ 8.8, 3.4 และ 0.6 ตามลำดับ โดยสรุป ประสิทธิผลของยา GPOviS₃₀ ในการควบคุมปริมาณไวรัสในเลือดและการเพิ่มระดับเซลล์ภูมิคุ้มกันในระยะยาวอยู่ในเกณฑ์ดีพอใช้ lipodystrophy เป็นอาการข้างเคียงที่สำคัญและเป็นอุปสรรคในการใช้ยานี้ในระยะยาว การศึกษาปัจจัยเสี่ยงและพัฒนาการตรวจ คัดกรองที่ดีอาจช่วยหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว