ระดับตะกั่วในเลือดจากการทำงานสัมผัสสารตะกั่วและผลกระทบต่อสารพันธุกรรม

ผู้แต่ง

  • วาทิณี ดรบุญล้น ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 ขอนแก่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
  • ชลธิชา พุทธสอน ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 ขอนแก่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
  • วิธินา ชาวปทุม ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 ขอนแก่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
  • ศิริปรางก์ ปะกิระนา ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 ขอนแก่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
  • ประทุมวรรณ์ กิตติอภิบูลย์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 ขอนแก่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
  • รัศมี ออมสิน ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 7 ขอนแก่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

คำสำคัญ:

การสัมผัสสารตะกั่ว, ระดับตะกั่วในเลือด, ความถี่การเกิดไมโครนิวเคลียส, อันตรายต่อสารพันธุกรรม

บทคัดย่อ

ะกั่วเป็นโลหะหนักมีพิษ มีผลกระทบต่อระบบสืบพันธุ์ การก่อกลายพันธุ์ และสามารถก่อมะเร็งได้ในสัตว์พื้นที่จังหวัดขอนแก่นเป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมผลิตแหอวนขนาดใหญ่ของภูมิภาคที่มีการใช้ตะกั่วชุบเคลือบ ลูกเหล็กติดถ่วงแหอวน ซึ่งการติดลูกตะกั่วไม่สามารถใช้เครื่องจักร ต้องติดด้วยมือเท่านั้น ดังนั้นจึงมีประชาชนในพื้นที่จำนวนไม่น้อยประกอบอาชีพติดลูกตะกั่วแหอวน ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสสารตะกั่วสูง การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของระดับตะกั่วในเลือดต่อสารพันธุกรรม การศึกษาดำเนินการในพื้นที่อำเภอเมืองขอนแก่นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 74 คน เป็นกลุ่มทำงานติดลูกตะกั่ว ซึ่งสัมผัสสารตะกั่ว จำนวน 47 คน (ร้อยละ 63.5) และกลุ่มทำงานติดทุ่นลอยไม่สัมผัสสารตะกั่ว จำนวน 27 คน (ร้อยละ 36.5) ดำเนินการสำรวจการได้รับสัมผัสตะกั่วด้วยการ ติดตามระดับตะกั่วในเลือดโดยใช้เทคนิค GFAAS และใช้ค่าความถี่การเกิดไมโครนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดลิมพ์โฟไซด์เป็นตัวชี้บอกระดับการทำลายของสารพันธุกรรมวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรม SPSS ผลการทดสอบพบประชาชนกลุ่มตัวอย่าง 7 คน (ร้อยละ 9.5) มีระดับตะกั่วในเลือดมากกว่า 40 ไมโครกรัม/เดชิลิตร ซึ่งเป็นระดับที่ส่งผลให้ร่างกายแสดงอาการผิดปกติ โดยกลุ่มติดลูกตะกั่วมีค่าเฉลี่ย 22.9 ไมโครกรัม/เดซิลิตร และกลุ่ม ติดทุ่นลอยมีค่าเฉลี่ย 5.7 ไมโครกรัม/เดชิลิตร ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ค่าความถี่การเกิดไมโครนิวเคลียสของกลุ่มติดลูกตะกั่วและกลุ่มติดทุ่นลอยมีค่าเฉลี่ย 2.85 และ 2.33 cells/1000 binucleate cells ตามลำดับ ซึ่งมีค่าไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ไม่พบความสัมพันธ์เชิงเส้นระหว่างปริมาณตะกั่วในเลือดกับความถี่การเกิดไมโครนิวเคลียส แต่พบความถี่การเกิดไมโครนิวเคลียสสูงขึ้นตามอายุการทำงาน ที่เพิ่มมากขึ้น (p<0.05) และพบว่า กลุ่มคนทำงานมีพฤติกรรมการไม่สวมถุงมือป้องกันการสัมผัสลูกตะกั่วขณะทำงานแต่ยังมีระดับตะกั่วในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติเป็นส่วนมาก เป็นผลจากการรณรงค์ให้ล้างมือก่อนหยิบจับอาหารแม้ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่างระดับตะกั่วกับความถี่การเกิดไมโครนิวเคลียส แต่ผลการทดสอบแสดงให้เห็นว่าการสัมผัสสารตะกั่วต่อเนื่องกันเป็นเวลานานมีผลต่อการเพิ่มขึ้นของความถี่การเกิดไมโครนิวเคลียสที่เป็นผลของการถูกทำลายของโครโมโซมและความไม่เสถียรของสายดีเอ็นเอ และสามารถเหนี่ยวนำให้เกิดมะเร็งได้ ในอนาคต จึงมีความน่าจะเป็นที่จะใช้ค่าความถี่การเกิดไมโครนิวเคลียสเป็นพารามิเตอร์ตรวจติดตามการเกิดมะเร็งได้

Downloads

Download data is not yet available.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2017-11-28

วิธีการอ้างอิง

ฉบับ

บท

นิพนธ์ต้นฉบับ

บทความที่มีผู้อ่านมากที่สุดจากผู้แต่งเรื่องนี้