ประสิทธิผลของการใช้สมาธิบำบัดแบบ SKT ต่อระดับความดันโลหิต ในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ตำบลเวียง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย

ผู้แต่ง

  • กาญจนา ช่าวทำนา โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย
  • เอลีชา เนาวโอภาส โรงพยาบาลเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย

บทคัดย่อ

บทนำ:  การฝึกกสมาธิบําบัดสามารถลดความเครียดและส่งผลให้ระดับความดันโลหิตลดลงได้

วัตถุประสงค์:  เพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้สมาธิบำบัดแบบ SKT 1 ต่อระดับความดันโลหิต ในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง

วิธีการศึกษา:  การวิจัยกึ่งทดลองชนิด 2 กลุ่ม วัดผลก่อนและหลังการทดลอง ศึกษาในประชากรกลุ่มเสี่ยง โรคความดันโลหิตสูง ตำบลเวียง อำเภอเวียงป่าเป้า จังหวัดเชียงราย กลุ่มทดลอง เป็นกลุ่มที่ใช้สมาธิบำบัดแบบ SKT 1 ส่วนกลุ่มควบคุม เป็นกลุ่มที่ได้รับคำแนะนำ และดูแลตามปกติ จำนวนกลุ่มละ 34 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย การทำสมาธิบําบัดแบบ SKT 1 คู่มือการปฏิบัติ แบบบันทึกข้อมูล แบบสอบถาม แบบประเมินความพึงพอใจ เก็บรวบรวมข้อมูลระดับความดันโลหิต ครั้งที่ 1 ก่อนการทำสมาธิบำบัด และสัปดาห์ที่ 4, 8 หลังการทำสมาธิบำบัด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ Multilevel modeling repeated measure

ผลการศึกษา:  ผลการติดตามระดับความดันโลหิต ในกลุ่มทดลอง เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลองมีค่า   ความดันโลหิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<.05) และภายหลังควบคุมอิทธิพลของเพศ อายุ ดัชนีมวลกาย อาชีพ ประวัติการสูบบุหรี่ ประวัติบุคคลในครอบครัวป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง พบว่าหลังการทำสมาธิบำบัดแบบ SKT 1 ระดับความดันโลหิต systolic ลดลง 1.95 mmHg และระดับความดันโลหิต diastolic ลดลง 2.35 mmHg อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p=0.042, 0.017) และมีความพึงพอใจต่อการฝึกสมาธิบำบัดแบบ SKT 1 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 82.4 %

สรุป:  การทำสมาธิบำบัดแบบ SKT 1 สามารถลดระดับความดันโลหิต systolic และ diastolic ในกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงได้ ดังนั้นบุคลากรสาธารณสุข ควรแนะนำกลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง ฝึกสมาธิบำบัดเทคนิค SKT1 เป็นประจำ เพื่อเป็นการป้องกันและเฝ้าระวังต่อการป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงในอนาคตต่อไป

คำสำคัญ:  สมาธิบำบัดแบบ SKT, สมาธิบำบัด SKT 1, กลุ่มเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง, โรคความดันโลหิตสูง, ระดับความดันโลหิต

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2025-08-01

วิธีการอ้างอิง