การสอบสวนการระบาดของโรคคางทูมในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง จังหวัดแพร่ เดือนมิถุนายน-สิงหาคม 2550

ผู้แต่ง

  • ชนินันท์ สนธิไชย โครงการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • เบญจวรรณ ระลึก โครงการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • ธราวิทย์ อุปพงษ์ โครงการฝึกอบรมแพทย์ประจำบ้านสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
  • วาสนา เขื่อนแก้ว สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแพร่
  • นิตยา บุญปก สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดแพร่
  • สุรางค์รัตน์ พ้องพาน โรงพยาบาลแพร่
  • เสาวณีย์ แกล้วกสิวิทย์ โรงพยาบาลแพร่
  • สุภารัตน์ กาศสมบูรณ์ เทศบาลเมืองแพร่
  • นลินี ปะละใจ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองแพร่
  • พจนารถ ศรีใจ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองแพร่
  • สรยุทธ กันทะรมย์ สำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมืองแพร่
  • ปวีณา วงค์สวรรค์ กลุ่มงานเฝ้าระวังสอบสวนทางระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา
  • Michael O'Reilly กลุ่มงานวิจัยและพัฒนานักระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา

คำสำคัญ:

โรคคางทูม, โรงเรียน, จังหวัดแพร่

บทคัดย่อ

ในเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2550 เกิดการระบาดของโรคคางทูมในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งในอำเภอเมือง จังหวัดแพร่ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (93.62%) เป็นนักเรียนชั้นเตรียมอนุบาลและชั้นอนุบาล สำนักระบาด วิทยาจึงได้สอบสวนโรคเพื่อทราบลักษณะการระบาดและป้องกันการแพร่กระจายของโรค โดยทบทวนข้อมูล ผู้ป่วยโรคคางทูมจากรายงาน 506 จังหวัดแพร่และค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม แพทย์จากคณะสอบสวนโรคตรวจ ร่างกายผู้ป่วยเพื่อขึ้นยันการวินิจฉัยและเก็บข้อมูลของผู้ป่วยโดยใช้แบบสอบถาม สำหรับนิยามผู้ป่วยโรคคางทูมที่สงสัยหมายถึง นักเรียน ครู หรือบุคลากรในโรงเรียนแห่งดังกล่าวที่มีอาการปวดบวมอย่างเฉียบพลันบริเวณต่อมน้ำลายหน้าหู หรือต่อมน้ำลายใต้ลิ้น หรือต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร อาจเป็นข้างเดียว หรือสองข้างตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2550 ส่วนนิยามผู้ป่วยโรคคางทูมที่ยืนยัน หมายถึง ผู้ป่วยโรคคางทุมที่สงสัยซึ่งตรวจพบภูมิคุ้มกันโรคลางทูมชนิด IgM นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาสภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนและกิจกรรมของนักเรียน สำหรับผลการศึกษา พบว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2550 พบผู้ป่วยจำนวน 47 ราย เป็นผู้ป่วยนอกทั้งหมด จากการตรวจเลือดผู้ป่วยจำนวน 35 ราย พบว่า 33 ราย มีภูมิคุ้มกันต่อโรคคางทูมชนิด IgM อัตราส่วนผู้ป่วยชายต่อหญิง คือ 1.5:1 ค่าเฉลี่ยอายุผู้ป่วยคือ 5.2 ปี (SD 1.3 ปี) และค่ามัธยฐานอายุผู้ป่วยคือ 5.08 ปี (พิสัย 2.7-20 ปี) อัตราป่วยร้อยละ 2.78 คิดเป็นอัตราป่วยในชั้นเตรียมอนุบาลและชั้นอนุบาลร้อยละ 8.04 อัตราป่วยในชั้นประถมศึกษาร้อยละ 0.18 อัตราป่วยในกลุ่มครูร้อยละ 1.25 โดยผู้ป่วยมีอาการสำคัญ คือ ต่อมน้ำลายอักเสบ (พบการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรมากที่สุด) และใช้ เส้นโค้งการระบาดแสดงว่าเป็นการระบาดจากคนสู่คน โดยเริ่มจากผู้ป่วยรายแรกไปยังครูประจำชั้นและเพื่อนนักเรียนผ่านทางน้ำลาย ซึ่งมีโอกาสแพร่กระจายเชื่อจากการใช้แก้วสำหรับดื่มน้ำและแปรงฟันร่วมกัน นอกจากนี้ การไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูมในนักเรียนชั้นเตรียมอนุบาลและชั้นอนุบาลก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการระบาดในครั้งนี้ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ฉีดวัคซีนให้แก่นักเรียนที่ยังไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูมมาก่อน ส่วนทางโรงเรียนได้งดการเรียนการสอนในชั้นเตรียมอนุบาลและชั้นอนุบาลเป็นเวลา 11 วัน และเฝ้าระวังโรคในโรงเรียนต่ออีก 1 สัปดาห์จากการติดตามสถานการณ์พบว่า ภายหลังจากการควบคุมและป้องกันโรคพบจำนวนผู้ป่วยลดลง

Downloads

Download data is not yet available.

ดาวน์โหลด

เผยแพร่แล้ว

2018-01-11

วิธีการอ้างอิง

ฉบับ

บท

นิพนธ์ต้นฉบับ

บทความที่มีผู้อ่านมากที่สุดจากผู้แต่งเรื่องนี้