ผลการใช้วงจรให้ยาระงับความรู้สึกประดิษฐ์ ในการลดเวลาการนำสลบ
คำสำคัญ:
การนำสลบ, การดมยาสลบในผู้ป่วยเด็ก, สิ่งประดิษฐ์บทคัดย่อ
การนำสลบผู้ป่วยเด็กเล็กที่มีอายุระหว่าง 3-8 ปี พบว่ามีปัญหาคือผู้ป่วยไม่ยินยอมในการรักษาโดยการใช้หน้ากากช่วยหายใจครอบปากของชุดวงจรให้ยาระงับความรู้สึกเด็กเพื่อนำสลบ การที่เด็กขัดขีนหรือไม่ยอมให้ความร่วมมือ อาจเป็นเพราะผู้ป่วยเด็กได้รับประสบการณ์หรือมีทัศนคติทางลบต่อบริการและสภาพแวดล้อม ที่เคยได้รับมาก่อน หากบังคับก็จะยิ่งมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจและทำให้มีทัศนคติไม่ดีมากขึ้นกว่าเดิม นอกจากนั้นการร้องให้ทำให้มีเสมหะ น้ำมูก และน้ำตา ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิด broncho spasm ขณะเหนี่ยวนำให้หลับ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย ทำให้ผู้ป่วยนอนโรงพยาบาลนานขึ้น ผู้วิจัยได้ประยุกต์เอาของเล่นที่เป่าให้เกิดเป็นฟองมา ติดตั้งที่ส่วนปลายที่เป็นทางออกของแก๊สทิ้ง ของวงจรดมยาสลบ ให้ผู้ป่วยเด็กสูดแก๊สนำสลบแล้วเป่าให้เกิดเป็นฟองสรุ้ง เป็นการลดความกลัวของอุปกรณ์และขณะเดียวกันทำให้เด็กเคลิ้มหลับโดยไม่รู้ตัว เป็นการลดระยะเวลาในการนำสลบและมีอุปกรณ์นำสลบใช้ในกลุ่มงาน อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่ออุปกรณ์การรักษาการศึกษานี้เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลองและมีกลุ่มควบคุม มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลการใช้อุปกรณ์นำสลบ กับวิธีการนำสลบแบบปกติ โดยคัดเลือกตัวอย่างเป็นแบบสุ่มจากผู้ป่วยเด็กอายุระหว่าง 3-8 ปี จำนวน 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมกลุ่มละ 15 คน โดยกลุ่มทดลองจะเป็นกลุ่มที่ใช้อุปกรณ์ที่ประดิษฐ์ ทำการวัดเวลาที่ใช้ในการนำสลบเปรียบเทียบกันกับกลุ่มควบคุมซึ่งใช้วิธีนำสลบแบบปกติวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานด้วยค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน จากการเก็บข้อมูลพบว่าการกระจายตัวของข้อมูลไม่ปกติจึงใช้สถิติ Wilcoxon Rank sum test, median แล้วจึงวิเคราะห์ความแตกต่างด้วย t-test พบว่าเวลาที่ใช้ในการนำสลบในกลุ่มทดลองใช้เวลาเฉลี่ย น้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (5 นาที [ต่ำสุด 3 นาที และสูงสุด 8 นาที) เทียบกับ 15 นาที (ต่ำสุด 13 นาทีและสูงสุด 18 นาที|) (p<0.001) เด็กทั้งสองกลุ่มไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ จึงสรุปได้ว่าอุปกรณ์สามารถใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ ทำให้ลดระยะเวลาในการทำงานโดยประสิทธิภาพในการทำงานไม่ลดลง
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2017 Journal of Health Science- วารสารวิชาการสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

