การลดปริมาณรังสีให้กับผู้ป่วยที่มาใช้บริการถ่ายภาพรังสีทรวงอกของโรงพยาบาลชายฝั่งทะเลอันดามัน
คำสำคัญ:
ปริมาณรังสีที่ผิวผู้ป่วย, การถ่ายภาพรังสีทรวงอก, ค่าทางเทคนิคในการถ่ายภาพรังสีบทคัดย่อ
การได้รับรังสีปริมาณสูงอาจทำให้เกิดการทำลายเนื้อเชื่อ ดีเอ็นเอ หรือโครโมโซมของร่างกายผู้ที่ ได้รับอาจทำลายเยื่อตา เกิดการระคายเคือง และอาจเป็นต้อกระจก การใช้รังสีทางการแพทย์จึงต้องทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยลดปริมาณรังสีที่ไม่จำเป็นให้กับผู้ป่วย ในปี 2553 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 1 และกองรังสีและเครื่องมือแพทย์ ได้จัดทำโครงการลดปริมาณรังสีที่ผู้ป่วยได้รับจากการถ่ายภาพรังสีวินิจฉัยของ โรงพยาบาล โดยวัดปริมาณรังสีที่ผิวผู้ป่วยจากการถ่ายภาพรังสีท่าเทคนิคต่าง ๆ ของโรงพยาบาลในภาค กลางและภาคใต้ ในเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2553 หลังจากนั้นได้จัดฝึกอบรมเรื่องเทคนิคในการลดปริมาณ รังสีจากการถ่ายภาพรังสีแก่เจ้าหน้าที่รังสีของโรงพยาบาลปลายเดือนมีนาคม 2553 และวัดปริมาณรังสีที่ผิว ผู้ป่วยจากการถ่ายภาพรังสีท่าเทคนิคต่าง ๆ อีกครั้งหลังการอบรมช่วงเมษายน-พฤษภาคม 2553 ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลปริมาณรังสีจากการถ่ายภาพรังสีทรวงอกท่า posteroanterio โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มผู้ป่วยที่มีความหนากึ่งกลางทรวงอก อยู่ระหว่าง 22 ± 5 เซนติเมตร ก่อนการอบรมจำนวน 140 ราย จากโรงพยาบาลในเขตจังหวัดตรัง กระบี่ พังงา และ ภูเก็ต จำนวน 14 แห่ง และเก็บข้อมูลปริมาณรังสีจากกลุ่มผู้ป่วยที่มีช่วงความหนาเท่าเดิมของโรงพยาบาลกลุ่มเดิม หลังการอบรม อีกจำนวน 140 ราย นำข้อมูลปริมาณรังสีของผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มมาเปรียบเทียบ โดยใช้สถิติแบบ Z-test พบว่า ปริมาณรังสีมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การใช้ปริมาณรังสีลดลง 12 โรงพยาบาล (85.7%) เมื่อพิจารณาในระดับกลุ่ม พบค่าปริมาณ รังสีควอไทล์ที่ 3 ของกลุ่ม ก่อนการอบรมเท่ากับ 0.56 มิลลิเกรย์ หลังการอบรม เท่ากับ 0.38 มิลลิเครย์ ลดลง 0.18 มิลลิเกรย์ (32.1%) และพบว่าปริมาณรังสีของโรงพยาบาลในกลุ่มใกล้เคียงกันมากขึ้น โดยอัตราส่วนระหว่างค่าปริมาณรังสีสูงสุดและค่าต่ำสุดลดลงจาก 20.10 เป็น 19.38 การวิเคราะห์ปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้ปริมาณรังสีลดลง พบว่าเจ้าหน้าที่รังสีส่วนใหญ่ได้ปรับค่าทางเทคนิคในการถ่ายภาพรังสี โดยเพิ่มค่าความ ต่างศักย์ของหลอดเอกซเรย์ คือเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3.3 กิโลโวลต์ (4.3%) และลดค่ากระแสหลอดเอกซเรย์คุณค่าเวลาในการถ่ายภาพรังสี คือลดลงเฉลี่ย 7.2 มิลลิแอมแปร์-วินาที (39.2%) และใช้ค่ากระแสหลอดเอกซเรย์คูณค่าเวลาในการถ่ายภาพรังสีใกล้เคียงกันมากขึ้น สรุปได้ว่าหลังการฝึกอบรมมีการใช้ปริมาณรังสีลดลง ช่วยลดอัตราเสี่ยงจากอันตรายของรังสีให้กับผู้ป่วย จึงควรดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายให้ครอบคลุมทุกโรง-พยาบาลทั่วประเทศ
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2017 วารสารวิชาการสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

