ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ในการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของประชาชนในจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มของการแพร่ระบาด
คำสำคัญ:
พฤติกรรมป้องกันโรคโควิด-19, วิถีชีวิติใหม่, พื้นที่ควบคุมสูงสุดของการแพร่ระบาดบทคัดย่อ
การวิจัยเชิงวิเคราะห์แบบภาคตัดขวาง (cross-sectional analysis study) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (new normal) ในการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 กลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนจำนวน 5 จังหวัดที่ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดงเข้มในการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ทั้งสิ้น 576 คน ทำการสุ่มอย่างบังเอิญ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามที่มีความเที่ยงตรงตามเนื้อหาอยู่ระหว่าง 0.9-1.0 และค่าสัมประสิทธิ์แอลฟ่าครอนบาคเท่ากับ 0.82 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มโดยเปรียบรายคู่ด้วยสถิติ Independent t-test และ Fisher’s Least Significant Difference (LSD) ผลการวิจัยพบว่า พฤติกรรมการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยรวมอยู่ในระดับมาก (mean= 4.44, SD = 0.54) ทั้งนี้การเว้นระยะห่างมีคะแนนน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับการล้างมือและการสวมใส่หน้ากาก (mean= 4.44 4.51 และ 4.54 ตามลำดับ) ในส่วนปัจจัยที่ส่งผลต่อระดับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (new normal) ในการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value < 0.05) ได้แก่ อายุ อาชีพ การเข้ารับวัคซีน การมีสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคโควิด การมีคนเป็นโรคโควิดในชุมชนที่อยู่อาศัย ประเภทช่องทางรับข้อมูลข่าวสาร และระดับความแออัดของชุมชนที่อยู่อาศัย ทั้งนี้กลุ่มอายุ 36-45 ปี อาชีพข้าราชการหรือพนักงานหน่วยงานราชการ และการรับข้อมูลข่าวสารจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เป็นกลุ่มที่มีคะแนนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ฯ ต่ำที่สุด
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กระทรวงสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.