สถานการณ์การใช้เกลือเสริมไอโอดีน ในครัวเรือน จังหวัดศรีสะเกษ ปี 2550
คำสำคัญ:
การใช้เกลือเสริมไอโลดีน, สถานการณ์บทคัดย่อ
การศึกษาเชิงสำรวจแบบภาคตัดขวางนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การใช้เกลือเสริมไอโอดีน คุณภาพของเกลือเสริมไอโอดีนและความสัมพันธ์ของปัจจัยต่าง ๆ กับการใช้เกลือเสริมไอโอดีนในครัวเรือนกลุ่มตัวอย่างเป็นประชาชนในจังหวัดศรีสะเกษที่สุ่มมาจำนวน 791 คน รวบรวมข้อมูลระหว่างเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน 2550 โดยการสัมภาษณ์และการตรวจสอบปริมาณไอโอดีนในเกลือโดยใช้ชุดทดสอบ 1-KIT วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณาและสถิติไค-สแควร์
ผลการศึกษาพบว่าครัวเรือนในจังหวัดศรีสะเกษ ร้อยละ 59.74 ระบุว่าใช้เกลือเสริมไอโอดีน ทั้งนี้เมื่อตรวจดูปริมาณไอโอดีนในเกลือเสริมไอโอดีนที่ใช้พบว่ามีเพียง ร้อยละ 78.81 ของเกลือเสริมไอโอดีนเท่านั้น ที่มีปริมาณไอโอดีนได้มาตรฐาน (ไม่น้อยกว่า 30 พีพีเอ็ม) ประมาณร้อยละ 20 ของกลุ่มตัวอย่างเก็บเกลือไว้ในสภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น เก็บไว้ในภาชนะที่ปิดไม่มิดชิด มีแสงแดดส่องถึงหรือใกล้เตาไฟ และสาเหตุที่กลุ่มตัวอย่างบางส่วนไม่ใช้เกลือเสริมไอโอดีน คือ การหาซื้อลำบากเนื่องจากร้านค้าในหมู่บ้านไม่มีขาย และเกลือเสริมไอโอดีนใช้ทำปลาร้าไม่ได้เนื่องจากราคาแพง ทำอาหารไม่อร่อยและไม่รู้จักเกลือเสริมไอโอดีน เป็นต้น
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่รู้จักโรคขาดสารโอโอดีน (ร้อยละ 75.72) มีความรู้ในเรื่องต่อไปนี้ คือ โรคขาดสารไอโอดีนในเรื่องการเป็นโรคที่ป้องกันได้ (ร้อยละ 83.52) รู้ว่าสารไอโอดีนมีมากในอาหารประเภทใด (ร้อยละ 77.01) หญิงตั้งครรภ์ขาดสารไอโอคีนในระดับรุนแรงจะมีอันตรายต่อทารก (ร้อยละ 89.02) การขาดสารไอโอดีนในเด็กจะมีผลต่อพัฒนาการได้ (ร้อยละ 89.41) และประชากรวัยแรงงานเป็นโรคขาดสารไอโอดีนได้ (ร้อยละ 62.50) เมื่อวิเคราะห์ผลของความรู้ต่อการใช้เกลือเสริมไอโอดีนพบว่าการรู้จักโรคขาดสารไอโอดีนและการที่รู้ว่าสารไอโอดีนมีมากในอาหารประเภทใดไม่มีผลต่อการใช้เกลือเสริมไอโอดีน ส่วนความรู้ในด้านอื่น ๆ จะมีผลต่อการใช้เกลือเสริมไอโอดีนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) โดยผู้ที่มีความรู้ในด้านเหล่านี้จะมีสัดส่วนของการใช้เกลือเสริมไอโอดีนมากกว่าผู้ที่ไม่มีความรู้ นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่มีการศึกษาสูงจะมีการใช้เกลือเสริมไอโอดีนมากกว่าผู้-ที่ไม่ได้เรียนหนังสือ/จบการศึกษาระดับประถมศึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) และพบว่าครัวเรือนที่มีหญิงมีครรภ์ใช้เกลือเสริมไอโอดีน (ร้อยละ 68.75) มากกว่าครัวเรือนที่ไม่มีหญิงมีครรภ์ (ร้อยละ 59.51) แต่ไม่พบความแตกต่างทางสถิดิที่ระดับนัยสำคัญ 0.05
การศึกษาครั้งนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสนับสนุนและกระตุ้นให้ประชาชนมีการใช้เกลือเสริมไอโอดีนมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงมีครรภ์ที่ยังมีการใช้น้อย ตลอดจนการตรวจ คุณภาพเกลือเสริมไอโอดีนจากโรงงานผลิตต่าง ๆให้มีการผลิตเกลือที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน เนื่องจากพบ ว่าร้อยละ 20.34 ของเกลือเสริมไอโอดีนมีปริมาณไอโอดีนต่ำกว่ามาตรฐาน
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2019 วารสารวิชาการสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

