การพัฒนารูปแบบการบริการทางเภสัชกรรมผู้ป่วยในเพื่อป้องกันการแพ้ยาข้ามกันในกลุ่มยาที่มีโอกาสแพ้ข้ามกันสูง ภายใต้บริบทของโรงพยาบาลวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม
คำสำคัญ:
การบริการทางเภสัชกรรม, ผู้ป่วยใน, การแพ้ยาข้ามกันบทคัดย่อ
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาและพัฒนารูปแบบการบริการทางเภสัชกรรมผู้ป่วยในเพื่อป้องกันการแพ้ยาข้ามกันในกลุ่มยาที่มีโอกาสแพ้ข้ามกันสูง ของโรงพยาบาลวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม ดำเนินการระหว่างเดือนเมษายน พ.ศ. 2565 - พฤษภาคม 2566 ใช้วิธีการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ได้แก่ (1) สหวิชาชีพ 25 คน (2) ผู้ป่วยในที่มีประวัติแพ้ยากลุ่ม beta-lactam หรือ non-steroidal anti-inflammatory drugs หรือ antiepileptic ที่มีภาวะหรือโรคที่ต้องได้รับยาในกลุ่มที่ผู้ป่วยมีโอกาสแพ้ข้ามกัน 160 คน และ (3) ผู้ปฏิบัติงานที่ใช้รูปแบบที่พัฒนา 30 คน ใช้วงจร PAOR (Planning-Action-Observation-Reflection) และประยุกต์ใช้แนวคิดกระบวนการมีส่วนร่วม รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสังเกต แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แบบบันทึกข้อมูลผู้ป่วย และแบบประเมินความพึงพอใจ ข้อมูลเชิงปริมาณใช้สถิติเชิงพรรณนา และข้อมูลเชิงคุณภาพใช้สถิติเชิงเนื้อหา ผลการศึกษา พบว่า ได้รูปแบบที่ประกอบด้วย 6 กระบวนหลัก ดังนี้ (1) กำหนดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน เข้าใจง่าย (2) สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน (3) ปรับรูปแบบลงข้อมูลแพ้ยา (4) ให้ข้อมูลแพ้ยาทุกขั้นตอน (5) กำหนดผู้รับผิดชอบ และ (6) ทบทวนร่วมกันสม่ำเสมอ หลังการนำไปใช้ไม่พบ อุบัติการณ์แพ้ยาข้ามกัน ในกลุ่มตัวอย่าง และกลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อรูปแบบระดับมาก สรุป รูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถ ป้องกันการแพ้ยาข้ามกันในกลุ่มยาที่มีโอกาสแพ้ข้ามกันสูงในผู้ป่วยในภายใต้บริบทของโรงพยาบาลวาปีปทุมได้ โดยปัจจัยแห่งความสำเร็จ คือ การใช้มุมมองของสหสาขาวิชาชีพที่จะช่วยให้การพัฒนารูปแบบมีประสิทธิผล ทั้งนี้อาจจะขยายการดำเนินงานไปยังยากลุ่มอื่นหรืออาจปรับให้เข้ากับบริบทการบริการทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยนอกได้
Downloads
เอกสารอ้างอิง
Thong B, Vervlote D. Drug allergies. World Allergy Organization [Internet]. 2014 [cited 2022 Jul 9]. Available from:http://www.worldallergy.org/professional/allergic_diseases_center/drugallergy/
Depta JP, Pichler WJ. Cross-reactivity with drugs at the T cell level. Curr Opin Allergy Clin Immunol 2003;3:261-7.
Thong BY, Leong KP, Tang CY, Chng HH. Drug allergy in a general hospital: results of a novel prospective inpatient reporting system. Ann Allergy Asthma Immunol 2003;90:342–7.
Gruchalla RS. Drug allergy. J Allergy Clin Immunol 2003;111(2 suppl):s548-9.
Bates DW, Cullen DJ, Laird N, Petersen LA, Small SD, Servi D, et al. Incidence of adverse drug events and potential adverse drug events: implication for prevention. JAMA 1995;274:29–34.
Ningsanon T, Yothapital C. Adverse drug reaction. 3 rd ed. Bangkok: Pauramutha Karn Pim; 2007.
World Health Organization. Joint FIP/WHO guidelines on good pharmacy practice: standards for quality of pharmacy services. WHO Technical Report Series No. 961. Geneva: World Health Organization; 2011.
ปภัสรา วรรณทอง, บุรินทร์ ต.ศรีวงษ์. คุณภาพบริการของ งานบริการเภสัชกรรม ในมุมมองผู้รับบริการ [อินเทอร์เน็ต]. 2561
[สืบค้นเมื่อ 5 มิ.ย. 2568]. แหล่งข้อมูล: https: //ccpe.pharmacycouncil.org/showfile.php?file=471
พัสรี ศรีอุดร, วรรณี ชัยเฉลิมพงษ์. การพัฒนาระบบเพื่อป้องกันการแพ้ยาซ้ำข้ามโรงพยาบาลในจังหวัดร้อยเอ็ดโดย การเชื่อมโยงข้อมูลแพ้ยาผ่านระบบ HOSxP. การประชุม วิชาการเสนอผลงานวิจัยบัณฑิตศึกษา ระดับชาติและนานาชาติ 2560; 10 มี.ค. 2560; มหาวิทยาลัยขอนแก่น, จังหวัดขอนแก่น. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2560. หน้า 869-79.
ชนิตนันท์ สุธาประดิษฐ์, อิิศราวรรณ ศกุนรักษ์. การพัฒนา ระบบคอมพิวเตอร์เพื่อแจ้งเตือนการแพ้ยาร่วมกับการ จัดการฐานข้อมูลการแพ้ยาของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จังหวัดสมุทรสาคร. วารสารเภสัชกรรมไทย 2562;2:431-44.
Kemmis S, McTaggard R. The action research planner. 3rd ed. Geelong: Deakin University; 1998.
บุญชม ศรีสะอาด. การวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพมหานคร: สุวีริยาสาส์น; 2545.
สมบัติ นามบุรี. ทฤษฎีการมีส่วนร่วม ในงานรัฐประศาสนศาสตร์. วารสารวิจัยวิชาการ 2562;2(1):183-97.
บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์. ระเบียบวิธีการวิจัยทางสังคมศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: จามจุรีโปรดักท์; 2551.
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กระทรวงสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

