การจัดลำดับความสำคัญงานวิจัย และงบประมาณสนับสนุนการวิจัยด้านสุขภาพ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 - 2549 ของกรมสุขภาพจิต

บทคัดย่อ

การจัดลำดับความสำคัญของงานวิจัยด้านสุขภาพเป็นองค์ประกอบสำคัญในการกำหนดยุทธศาสตร์งาน วิจัยด้านสุขภาพ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อปัญหาที่มีความสำคัญฉุกเฉินและข้อจำกัดด้านทรัพยากรอย่างเหมาะสม กรมสุขภาพจิตซึ่งเป็นหน่วยงานที่เป็นแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัยด้านสุขภาพที่สำคัญด้านสุขภาพจิตการศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงพรรณนา เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2549 ถึงเดือนมกราคม 2550 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลไก แนวทางและหลักเกณฑ์ในการจัดลำดับความสำคัญงานวิจัย รวมทั้งงบประมาณที่ให้การสนับสนุนของกรมสุขภาพจิต โดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2545-2549แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำหนดยุทธศาสตร์ และข้อมูล เอกสารที่เกี่ยวข้อง สถิติที่สำคัญที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ร้อยละและสัดส่วน

การศึกษาพบว่า กรมสุขภาพจิตได้ให้ความสำคัญการวิจัยเป็นอย่างมาก โดยมีแนวทางการพัฒนาระบบงานวิจัยที่เป็นระบบเป็นไปตามนโยบายและทิศทางการวิจัยของกรม อีกทั้งสอดคล้องกับระยะเวลาการ พิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติและสำนักงบประมาณ ในส่วนของการสนับสนุนการทำ วิจัยและการให้งบประมาณสนับสนุน พบว่า ใน 5 ปีที่ผ่านมา มีงานวิจัยด้านสุขภาพจิต จำนวนทั้งสิ้น 152 เรื่อง งบประมาณรวมทั้งสิ้น 41.541 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.51 ของงบประมาณรวม 5 ปีของกรม ใช้งบประมาณเพื่อการทำวิจัยเฉลี่ย เรื่องละ 273,297.76 บาท โดยเป็นงานวิจัยทางสาธารณสุขและสังคมศาสตร์ที่เกี่ยวกับสุขภาพมากที่สุด คือ จำนวน 122 เรื่อง หรือร้อยละ 80.26 ตามด้วยการวิจัยประยุกต์เพื่อการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการสุขภาพ ร้อยละ 9.21 และงานวิจัยกลไกหรือระบบเกื้อหนุนสุขภาพ ร้อยละ 7.89 ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยในบริบทเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพจิตและจิตเวช การศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่าควรกำหนด สัดส่วนงบประมาณเพื่อการลงทุนทำวิจัยขั้นต่ำอย่างน้อยร้อยละ 3 ของวงเงินงบประมาณภาพรวมของหน่วยงานนอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขควรมีคณะกรรมการจัดการงานวิจัยเพื่อทำหน้าที่ในการจัดทำยุทธศาสตร์การ วิจัย แผนการบริหารจัดการ การจัดลำดับความสำคัญงานวิจัยที่ต้องการใช้ประโยชน์ และพิจารณาบูรณาการงานวิจัยทีเกียวข้องกัน เพื่อลดความซำซ้อน เพิ่มความคุ้มค่าการลงทุน อีกทั้งกำหนดมาตรฐานและทิศทางในการจัดการงานวิจัยให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมทั้งจัดทำแผนพัฒนาเครือข่ายนักวิจัยทั้งภายในและภาย นอกกระทรวงฯ