การติดตามสตรีติดเชื้อเอชไอวีที่มีผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ โรงพยาบาลสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่
คำสำคัญ:
เอชไอวี, การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก, การติดตามระยะยาว, การกลับเป็นซ้ำบทคัดย่อ
สตรีผู้ติดเชื้อเอชไอวี มีความเสี่ยงต่อรอยโรคภายในเยื่อบุสแควมัสสูงขึ้น การตรวจคัดกรอง และการรักษา ร่วมกับการติดตามผลอย่างต่อเนื่อง จะช่วยลดอุบัติการณ์มะเร็งปากมดลูกระยะลุกลามลง การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และติดตามประเมินผลหลังการรักษาอย่างต่อเนื่อง กลุ่มตัวอย่างเป็นสตรีติดเชื้อเอชไอวี ในเขตอำเภอสันป่าตอง ทั้งหมดที่มารับการรักษา และได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในระหว่างเดือนมกราคม 2547-ธันวาคม 2555 วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติเชิงพรรณนา ผลการศึกษาพบว่า มีสตรีติดเชื้อเอชไอวี ที่มีผลการตรวจมะเร็งปากมดลูกจำนวน 382 คน รวมการตรวจ 1,720 ครั้ง โดยทุกคนจะได้รับการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับขั้นตอน วิธีการรักษา และความสำคัญของการมารับการตรวจติดตามผลหลังการรักษาให้ครบทุกครั้ง จัดให้มีการติดตามนัดตรวจ Pap smear ทุก 6 เดือน จำนวน 4 ครั้ง และติดตามต่อไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยการตรวจ Pap smear ทุก 1 ปี โดยพบว่า ผู้มีผลการตรวจมะเร็งปากมดลูกผิดปกติ 107 คน (ร้อยละ 28.01)พบผลทางเซลล์วิทยาเป็น ASC 18 คน, AGC 2 คน, LSIL 53 คน, HSIL 33 คน และพบผู้ที่ปากมดลูก มีลักษณะสงสัยมะเร็ง 1 คน เมื่อส่งตรวจวินิจฉัยเพิ่มพบว่า ผลการตรวจเป็นปกติ 20 คน LSIL 43 คน HSIL 39 คน และมะเร็งปากมดลูกระยะลุกลาม 5 คน; ผลการตรวจติดตามหลังการรักษาภายใน 1 ปีแรก พบผลผิดปกติ 22 คน (ร้อยละ 21.57) เมื่อส่งตรวจวินิจฉัยเพิ่ม พบว่าเป็น LSIL. 14 คน HSIL 6 คน และเป็นมะเร็งระยะลุกลาม 2คน ส่วนผลการติดตามตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป 90 คน (เสียชีวิต 5 คน) พบว่ามีการกลับเป็นซ้ำของโรค 20 คน (ร้อยละ 23.53) จำแนกเป็น LSIL 6 คน HSIL 14 คน ในจำนวน 42 คนนี้ พบว่ามี 12 คน เป็นผู้ที่เคยมีผลปกติจากการตรวจด้วยการส่องกล้อง colposcope แสดงว่า ผู้ที่มีผลการส่งตรวจวินิจฉัยเพิ่มที่เป็นปกตินั้น จำนวนหนึ่งเป็นผลลบลวง และการที่พบว่า ภายหลังการรักษายังพบการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งบ่งบอกถึงความจำเป็นที่จะต้อง มีการตรวจมะเร็งปากมดลูกแก่สตรีติดเชื้อเอชไอวีทุกคนอย่างน้อยปีละครั้ง รวมทั้งต้องให้มารับการติดตามการรักษาอย่างต่อเนื่องตลอดไป
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2017 Journal of Health Science- วารสารวิชาการสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

