ประสิทธิผลโครงการเพื่อลดช่องว่าง การบริการสุขภาพจิตในประเทศไทย
คำสำคัญ:
ผู้ป่วยโรคจิต, ประสิทธิผลโครงการ, การลดช่องว่างบริการสุขภาพจิตบทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยประเมินผล เพื่อศึกษากระบวนการดูแลผู้ป่วยโรคจิตและประเมินผลโครงการลดช่องว่างการบริการผู้ป่วยโรคจิตในประเทศไทย ทำการศึกษาใน 4 พื้นที่โรงพยาบาลนำร่อง ได้แก่ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น กลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาเป็นผู้ป่วยโรคจิตจากการคัดกรองผู้มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป และรับรักษาในโรงพยาบาลพื้นที่นำร่อง จำนวน 1,167 คน เก็บข้อมูลระหว่างเดือนเมษายน ถึง กันยายน 2556 โดยใช้แบบสอบถามจำนวน 3 ชุด ได้แก่ แบบคัดกรองผู้ป่วย แบบประเมินความสามารถดูแลตนเอง และแบบประเมินคุณภาพชีวิตใช้กระบวนการสนทนากลุ่มเพื่อรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพ ใช้รูปแบบซิปป์ในการประเมินโครงการ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ข้อมูลเชิงปริมาณใช้การวิเคราะห์ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มัธยฐาน วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยด้วย ไคสแควร์ อธิบายด้วยค่า OR และ 95%CI ที่ระดับ นัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า จากการคัดกรองประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป พบผู้ป่วยโรคจิต ที่รับการรักษาในโรงพยาบาลพื้นที่วิจัยเฉลี่ยร้อยละ 0.7 พบผู้ป่วยสูงสุดในพื้นที่อำเภอหนองสองห้องร้อยละ 0.9 ผู้ป่วยส่วนใหญ่ ร้อยละ 73.7 เป็นเพศชาย มีอายุอยู่ระหว่าง 26 - 35 ปี ร้อยละ 42.7 และส่วนใหญ่มีการศึกษาอยู่ในระดับประถมศึกษา ร้อยละ 40.3 ผลการดำเนินงานโครงการสามารถบรรลุตัวชีวัดจำนวน 6 ใน 7 ตัวชี้วัด ได้แก่การคัดกรองโรคจิต ร้อยละ 91.4 ระยะเวลาเริ่มป่วยโรคจิตจนถึงเมื่อได้รับการวินิจฉัยครั้งแรก ลดลงร้อยละ 96.1 การรักษาด้วยยาต่อเนื่อง 3 เดือน ร้อยละ 95.3 การเข้าถึงบริการสุขภาพ ร้อยละ 95.0 การกลับมารักษาซ้ำ ร้อยละ 2.2 และคะแนนคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 98.4 ส่วนตัวชี้วัดความสามารถดูแลตนเองของผู้ป่วยไม่ผ่านเกณฑ์ชี้วัด ร้อยละ 63. 1 โดยภาพรวมผู้ป่วยโรคจิตหลังการรักษาครบ 3 เดือนมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นและมีความสามารถในการ ดูแลตนเองดีขึ้นกว่าก่อนการรักษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p:0.001) ปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโรคจิตในการศึกษานี้คือ อายุ โดยพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่มีอายุระหว่าง 46 - 55 ปี มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่ากลุ่มอายุมากกว่า 55 ปี 3.96 เท่า (Crude OR = 3.960, 95%CI: 1.738-9.021) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และกลุ่มอายุตำกว่า 25 ปี มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่ากลุ่มอายุมากกว่า 55 ปี อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อควบคุมตัวแปรอื่นแล้วไม่พบว่ามีความสัมพันธ์ดังกล่าว ส่วนปัจจัยความสำเร็จของโครงการ ได้แก่ การจัดทำทะเบียนผู้ป่วย ความครอบคลุมของกระบวนการการพัฒนาศักยภาพบุคลากร จุดเน้นการรักษา การสร้างความเข้าใจต่อผู้ป่วยและญาติ และระบบการส่งต่อ
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2017 Journal of Health Science- วารสารวิชาการสาธารณสุข
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.