การประเมินความเหมาะสมของการสั่งใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรง ณ โรงพยาบาลสงขลา
คำสำคัญ:
ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรง, อาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาบทคัดย่อ
ความเป็นมา: จากการทบทวนการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรง ระหว่างปี พ.ศ. 2564-2565 ในโรงพยาบาลสงขลา พบอาการไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลลัพธ์ต่อผู้ป่วยในระดับ I (เสียชีวิต) จำนวน 2 ราย ทำให้ต้องใช้ยาต้านพิษที่มีราคาแพง ส่งผลกระทบต่อชีวิตและค่าใช้จ่ายด้านยา
วัตถุประสงค์: เพื่อประเมินความเหมาะสมของการสั่งใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรง และการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา
วิธีการวิจัย: เป็นงานวิจัยเชิงพรรณนาแบบย้อนหลัง โดยเก็บข้อมูลย้อนหลังจากฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์และเวชระเบียนผู้ป่วย ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ถึง 30 กันยายน พ.ศ. 2566
ผลการวิจัย: พบว่ามีการสั่งใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรงที่เหมาะสม 208 ครั้ง (ร้อยละ 90.04) ไม่เหมาะสม 23 ครั้ง (ร้อยละ 9.96) เป็นการสั่งใช้ยาในขนาดที่ต่ำเกินไป 10 ครั้ง (ร้อยละ 4.33) สั่งใช้ยาในขนาดสูงเกินไป 13 ครั้ง (ร้อยละ 5.63) พบอาการไม่พึงประสงค์จากการสั่งใช้ยาที่เหมาะสม 7 ครั้ง (ร้อยละ 3.03) โดยมีภาวะเลือดออก 6 ครั้ง (ร้อยละ 2.60) และเท้าบวม 1 ครั้ง (ร้อยละ 0.43) และพบภาวะเลือดออกจากการสั่งใช้ยาที่ไม่เหมาะสม 1 ครั้ง (ร้อยละ 0.43) การสั่งใช้ยาในขนาดที่ไม่เหมาะสมเกิดอาการไม่พึงประสงค์มากกว่าผู้ป่วยที่ได้รับยาในขนาดเหมาะสม 1.29 เท่า (OR = 1.29, 95%CI: 0.15 – 10.97)
สรุปผล: จากการศึกษาพบว่ามีการสั่งใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานที่ออกฤทธิ์โดยตรงที่ไม่เหมาะสม ทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยามากกว่าการสั่งใช้ยาที่เหมาะสมประมาณร้อยละ 29 แม้ว่าไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ เนื่องจากยังมีการรายงานน้อย กลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็ก และเป็นยาใหม่ที่เริ่มใช้ในโรงพยาบาลไม่นาน แต่ก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้แพทย์ตระหนักในเรื่องการสั่งใช้ยามากขึ้น
เอกสารอ้างอิง
Barra ME, Fanikos J, Connors JM, Sylvester KW, Piazza G, Goldhaber SZ. Evaluation of dose-reduced direct oral anticoagulant therapy. AM J Med. 2016;129(11):1198-204. doi: 10.1016/j.amjmed.2016.05.041.
ชาริณี มีอาษา, ไชยสิทธิ์ วงศ์วิภาพร, ชญานิศ น่าชม, สุปราณี สิงหพีระกุล, ผันสุ ชุมวรฐายี, วีรวรรณ อุชายภิชาติ. การทบทวนรูปแบบและความเหมาะสมของขนาดยาต้านการแข็งตัวของเลือดชนิดรับประทานกลุ่มใหม่ในผู้ป่วยนอก ณ โรงพยาบาลศรีนครินทร์. ศรีนครินทร์เวชสาร [อินเทอร์เน็ต]. 2561 [สืบค้นเมื่อ 12 เม.ย. 2567];33(5 suppl):114-24. สืบค้นจาก: https://thaidj.org/index.php/smnj/article/view/4127
Navar AM, Kolkailah AA, Overton R, Shah NP, Rousseau JF, Flaker GC, et al. Trends in oral anticoagulant use among 436 864 patients with atrial fibrillation in community practice, 2011 to 2020. J Am Heart Assoc. 2022;11(22):e026723. doi: 10.1161/JAHA.122.026723.
Hindricks G, Potpara T, Dagres N, Arbelo E, Bax JJ, Blomström-Lundqvist C, et al. 2020 ESC guidelines for the diagnosis and management of atrial fibrillation developed in collaboration with the European Association for Cardio-Thoracic Surgery (EACTS): the task force for the diagnosis and management of atrial fibrillation of the European Society of Cardiology (ESC) developed with the special contribution of the European Heart Rhythm Association (EHRA) of the ESC. Eur Heart J. 2021;42(5):373-498. doi: 10.1093/eurheartj/ehaa612.
Kirchhof P, Benussi S, Kotecha D, Ahlsson A, Atar D, Casadei B, et al. 2016 ESC guidelines for the management of atrial fibrillation developed in collaboration with EACTS. Eur Heart J. 2016;37(38):2893-962. doi: 10.1093/eurheartj/ehw210.
Davis C. Drug information for the healthcare professional. 15th ed. Philadelphia: Lippincott Williams & Wilkins; 2022.
MICROMEDEX® DRUGDEX®. Apixaban, Rivaroxaban, Edoxaban, Dabigatran. In: MICROMEDEX® DRUGDEX® System [Database on the internet]. Colorado: Thomson Reuters (Healthcare); 2024 [cited 2024 Apr 12]. Available from: https://www.thomsonhc.com [Subscription required to view]
Chen A, Stecker E, A Warden B. Direct oral anticoagulant use: a practical guide to common clinical challenges. J Am Heart Assoc. 2020;9(13):e017559. doi: 10.1161/JAHA.120.017559.
Pongsathabordee C, Saringkarn P, Ratanapornsompong K, Rungruang R, Srithonrat S, Tangkaotong P, et al. Appropriateness of direct oral anticoagulant dosing in patients with atrial fibrillation at a tertiary care hospital in Thailand. Explor Res Clin Soc Pharm. 2024;16:100507. doi: 10.1016/j.rcsop.2024.100507.
พรวลัย บุญเมือง, บรรณาธิการ. Transition of anticoagulant. หนังสือประกอบการประชุมโครงการอบรมหลักสูตรการบริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง; 4-5 เม.ย. 2567; สถาบันประสาทวิทยา. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหิดล; 2567.
Poli D, Antonucci E, Ageno W, Berteotti M, Falanga A, Pengo V, et al. Inappropriate underdosing of direct oral anticoagulants in atrial fibrillation patients: results from the START2-AF registry. J Clin Med. 2024;13(7):2009. doi: 10.3390/jcm13072009.
Rieser KN, Rosenberg EI, Vogel Anderson K. Evaluation of the appropriateness of direct oral anticoagulant selection and monitoring in the outpatient setting. J Pharm Technol. 2017;33(3):108-13. doi: 10.1177/8755122517698976.
Moudallel S, Steurbaut S, Cornu P, Dupont A. Appropriateness of DOAC prescribing before and during hospital admission and analysis of determinants for inappropriate prescribing. Front Pharmacol. 2018;9:1220. doi: 10.3389/fphar.2018.01220.
Elfar S, Elzeiny SM, Ismail H, Makkeyah Y, Ibrahim M. Direct oral anticoagulants vs. warfarin in hemodialysis patients with atrial fibrillation: a systematic review and meta-analysis. Front Cardiovasc Med. 2022;9:847286. doi: 10.3389/fcvm.2022.847286.
มรกต ฤกษรัตนวารี. ความชุกและการจำแนกอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาโรงพยาบาลสอยดาว. วารสารศูนย์การศึกษาแพทยศาสตร์คลินิก โรงพยาบาลพระปกเกล้า [อินเทอร์เน็ต]. 2558 [สืบค้นเมื่อ 12 เม.ย. 2567];32(4):332-47. สืบค้นจาก: https://he02.tci-thaijo.org/index.php/ppkjournal/article/view/67729
Alberts MJ, Bernstein RA, Naccarelli GV, Garcia DA. Using dabigatran in patients with stroke: a practical guide for clinicians. Stroke. 2012;43(1):271-9. doi: 10.1161/STROKEAHA.111.622498.

ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2025 กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
ข้อความภายในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารเภสัชกรรมคลินิกทั้งหมด รวมถึงรูปภาพประกอบ ตาราง เป็นลิขสิทธิ์ของกองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข การนำเนื้อหา ข้อความหรือข้อคิดเห็น รูปภาพ ตาราง ของบทความไปจัดพิมพ์เผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ ต้องได้รับอนุญาตจากกองบรรณาธิการวารสารเภสัชกรรมคลินิกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
กองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข อนุญาตให้สามารถนำไฟล์บทความไปใช้ประโยชน์และเผยแพร่ต่อได้ โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอน (Creative Commons License: CC) โดย ต้องแสดงที่มาจากวารสาร – ไม่ใช้เพื่อการค้า – ห้ามแก้ไขดัดแปลง, Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International (CC BY-NC-ND 4.0)
ข้อความที่ปรากฏในบทความในวารสารเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนแต่ละท่านไม่เกี่ยวข้องกับกองบริหารการสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ ชมรมเภสัชกรโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุข และบุคลากรในกองฯ หรือ ชมรมฯ แต่อย่างใด ความรับผิดชอบองค์ประกอบทั้งหมดของบทความแต่ละเรื่องเป็นของผู้เขียนแต่ละท่าน หากมีความผิดพลาดใด ๆ ผู้เขียนแต่ละท่านจะรับผิดชอบบทความของตนเอง ตลอดจนความรับผิดชอบด้านเนื้อหาและการตรวจร่างบทความเป็นของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องกับกองบรรณาธิการ