การศึกษาอัตราการติดเชื่อกลุ่มไข้รากสาด (Typhus Fever) ของหนูในพื้นที่เสี่ยงสูง
คำสำคัญ:
อัตราการติดเชื้อ, ไข้รากสาด, หนู, พื้นที่เสี่ยงสูงบทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิด จำนวน และอัตราการติดเชื้อกลุ่มไข้รากสาดในหนู รวมถึงชนิดและจำนวนของพาหะนำโรคที่เก็บได้บนตัวหนูและสัตว์ฟันแทะอื่นโดยการวางกรงดักในพื้นที่เสี่ยงสูงที่กำหนด เจาะเลือดหนูที่ดักได้เพื่อเก็บน้ำเหลืองนำไปตรวจหาภูมิตอบสนองต่อเชื้อในกลุ่มไข้รากสาดโดยวิธี IFA (indirect inmunofluorescent antibody) และเก็บปรสิตภายนอกที่อาศัยบนตัวหนูและสัตว์ฟันแทะที่ดักได้ในพื้นที่เสี่ยงสูงจำนวน 7 พื้นที่ผลการศึกษาพบว่า จำนวนกับดักที่วางทั้งหมด 1,567 กรง ดักสัตว์ได้ 192 กรงคิดเป็น percent trap success เท่ากับ 12.3 เป็นหนู 150 ตัว (ร้อยละ 78.1) สัตว์ฟันแทะอื่น 42 ตัว (ร้อยละ 21.9) ในกลุ่มหนูพบว่าอยู่ในสกุล Rattus spp. ร้อยละ 72.0 สกุล Bandicota spp. ร้อยละ 23.3 และสกุล Mus spp. ร้อยละ 4.7 ตามลำดับ ในกลุ่มสัตว์ฟันแทะ ชนิดอื่นพบว่าเป็น กระแตธรรมดา (Tupaia glis) หนูผีบ้าน (Crociduramurinus) กระรอกข้างลาย/กระจ้อน (Menetes berdmorei consularis) กระแตเล็ก (T. minor) กระรอกข้างลายท้องแดง (Callosciurus notatus) และกระรอก ดินท้องแดง (C. etythraeus) ตามลำดับ สำหรับอัตราการติดเชื้อในกลุ่มไข้รากสาดเท่ากับร้อยละ 50.9 จาก ตัวอย่างส่งตรวจจำนวน 118 ตัวอย่าง พบว่ามีภูมิตอบสนองต่อเชื้อ Ricketsia hone: ร้อยละ 73.3 ภูมิตอบสนองต่อเชื้อ Orientia tsutsugamushi ร้อยละ 41.7 และภูมิตอบสนองต่อเชื้อ Rickettsia typhi ร้อยละ 6.7 ตามลำดับ อัตราการมีปรสิตภายนอก (Infested rate) เท่ากับร้อยละ 53.3 เป็นไรอ่อนในสกุลต่าง ๆ ร้อยละ 91.9 ได้แก่สกุล Ascoschoengastia spp. สกุล Gahrliepia (Walchia) spp. สกุล Leptotrombidium spp. สกุล Helenicula spp. และสกุล Schoengastia spp. ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีไรสกุล Laelaps spp. หมัดหนูชนิด Nosopsylus fasciatus เห็บสกุล Haemaphysalis spp และสกุล Amblyomma spp ตามลำดับ คณะผู้วิจัยเห็นควรดำเนินการเฝ้าระวังโรคกลุ่มไข้รากสาดในหนูและสัตว์พาหะนำโรคชนิดอื่น เพื่อใช้เป็นข้อมูลการพยากรณ์การเกิดโรค และให้ความรู้แก่ประชาชนในการป้องกันตนเองหากเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง เพราะทั้งสามโรคสามารถติดต่อถึงคนได้
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2017 Journal of Health Science- วารสารวิชาการสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

