ระหว่างคนจนกับคนรวยใครได้รับประโยชน์จากการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า?
คำสำคัญ:
ทรัพยากรภาครัฐ, การได้รับประโยชน์, การเข้าถึงบริการสุขภาพ, หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าบทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตอบคำถามต่อสาธารณะว่า ระหว่างคนจนกับคนรวย ใครคือผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทั้งในด้านการใช้บริการสุขภาพและการได้รับประโยชน์จากงบประมาณภาครัฐ ระหว่างกลุ่มประชากรที่มีเศรษฐานะแตกต่างกัน โดยเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังการดำเนินนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า วิธีการศึกษาประกอบด้วยการวิเคราะห์ Benefit inci-dence analysis ปีงบประมาณ 2544 (ก่อนมีหลักประกันฯ) และ 2546 (หลังมีหลักประกันฯ) โดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากการสำรวจอนามัยและสวัสดิการของครัวเรือน พ.ศ. 2544 และ 2546 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ข้อมูลต้นทุนการให้บริการสุขภาพของสถานพยาบาลภาครัฐและทรัพยากรที่ภาครัฐสนับสนุนต่อการให้บริการของภาคเอกชน โดยจำแนกคนไทยตามเศรษฐานะออกเป็น 5 ระดับตั้งแต่ยากจนที่สุด ยากจนปานกลาง เศรษฐานะดี และดีที่สุด โดยใช้รายได้ต่อหัวประชากรของครัวเรือนที่ปรับแล้วเป็นตัวชี้วัดประเมินความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสุขภาพและการได้รับประโยชน์จากทรัพยากรภาครัฐโดยใช้ดัชนี concentration index (CI) ศึกษาระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2547 ถึงตุลาคม 2548
ผลการศึกษาพบว่า ภายหลังการมีหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ความครอบคลุมของการมีหลักประกัน สุขภาพในประชากรไทยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 71 ใน พ.ศ. 2544 เป็นร้อยละ 95 ใน พ.ศ. 2546 โดยประชากรกลุ่มยากจนส่วนใหญ่ได้รับการคุ้มครองจากนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประชากรกลุ่มเศรษฐานะากจนที่สุดสามารถเข้าถึงและใช้บริการสุขภาพของภาครัฐในระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิเพิ่มมากขึ้น ทั้งบริการผู้ป่วยนอก (ที่ระดับสถานีอนามัยเพิ่มจาก 1.20 ครั้งเป็น 1.90 ครั้งต่อคนต่อปี และที่โรงพยาบาล ชุมชนเพิ่มจาก 0.71 ครั้งเป็น 1.84 ครั้งต่อคนต่อปี) และบริการผู้ป่วยใน (ที่โรงพยาบาลชุมชนเพิ่มจาก 0.036ครั้งเป็น 0.063 ครั้งต่อคนต่อปี) ดัชนี CI ของการใช้บริการผู้ป่วยนอกที่สถานีอนามัย โรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไป มีลักษณะ pro-poor เพิ่มขึ้นใน พ.ศ. 2546 เช่นเดียวกับการใช้บริการผู้ป่วยในของโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลศูนย์/ทั่วไป ประชาชนกลุ่มเศรษฐานะยากจนได้รับประโยชน์จากทรัพยากรภาครัฐเพิ่มขึ้นโดยมี CI เพิ่มจาก -0.044 ในปี 2544 เป็น -0.123 ใน พ.ศ. 2546 (CI มีค่าระหว่าง +1 ถึง -1 โดยหาก CI มีค่าติดลบเพิ่มขึ้น แสดงว่ามีลักษณะ pro-poor เพิ่มขึ้น) และไม่พบความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อใช้รายได้ต่อหัวประชากรกับดัชนีสินทรัพย์ในการจำแนกเศรษฐานะของประชากร หรือเมื่อใช้ต้นทุนเฉลี่ยของการให้บริการสุขภาพในระดับประเทศกับต้นทุนในระดับภาค การศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าระบบสุขภาพของประเทศไทยมีลักษณะ pro-poor ทั้งก่อนและหลังการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าโดยกลุ่มประชากรที่มีฐานะยากจนได้รับประโยชน์จากทรัพยากรภาครัฐเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากปัจจัยที่สำคัญคือการขยายการมีหลักประกันสุขภาพให้ครอบคลุมคนยากจนและผู้ที่เดิมไม่มีหลักประกันสุขภาพ การลด อุปสรรคด้านการเงินในการเข้าถึงบริการสุขภาพ การมีชุดสิทธิประโยชน์ที่ค่อนข้างครอบคลุม และการกำหนดให้เครือข่ายระดับปฐมภูมิเป็นสถานพยาบาลหลักในการให้บริการสุขภาพซึ่งง่ายต่อการเข้าถึงของประชากรกลุ่มยากจนในชนบท
Downloads
ดาวน์โหลด
เผยแพร่แล้ว
วิธีการอ้างอิง
ฉบับ
บท
การอนุญาต
ลิขสิทธิ์ (c) 2017 วารสารวิชาการสาธารณสุข

This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.

